หากคุณเคยมีปัญหากับ “ภาษาอังกฤษ”ศัพท์ก็ยาก ไหนไวยากรณ์อีกเพียบ 'Tense'ที่ทั้งท่องทั้งจำกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ยังไง๊..ยังไง ก็ไม่เข้าหัว วันนี้ Life on campus ไปเจอเคล็ดลับดีๆ ในเพจจีบัน ดอท คอม โดยคุณเอมได้เขียนสรุปทั้ง 12 tense อ่านแล้วเข้าใจง่าย จนคุณต้องร้อง...อ๋อ!!! ถ้าพร้อมแล้วไปดูสูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับจำ 'Tense' ของคุณเอมกันเลย... มาเริ่มกันที่... ก่อนอื่นเราดูตารางคร่าวๆ ก็จะเห็นว่าตารางนี้ มี 4 คอลัมน์ กับอีก 3 แถว รวมทั้งหมดไฝว้กันออกมาได้เป็น 12 ช่อง โดยที่หัวตารางด้านบนในแนวตั้ง จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า tense จะมี 4 อัน คือ 1. Simple 2. Continuous 3. Perfect 4. Perfect Continuous ส่วนหัวตารางด้านซ้ายในแนวนอนจะเป็น time (เวลา) จะมี 3 อัน คือ 1. Present ( ปัจจุบัน) 2. Past (อดีต) 3. Future (อนาคต) ***ค่อยๆ ดูไปด้วยกันทีละคอลัมน์ในแนวตั้ง เวลาอ่านชื่อ tense ก็อ่านช่องด้านซ้ายก่อน แล้วก็ต่อด้วยช่องด้านบน | |||
• Present Simple เป็นแบบที่เราเรียนกันมาง่ายๆ เลย “Sub + V1” (เติม s/es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์) • Past Simple ก็ง่ายอีก “Sub + V2” ไปเลย ในเมื่อ V2 มันก็คือกริยาที่ใช้สำหรับในอดีตอยู่แล้ว • Future Simpleเอา “Sub + will + Vinf” โดยที่คำว่า will แปลว่า "จะ" มันจะทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยในประโยค ตามด้วย Vinf ก็คือ Verb ที่ไม่เปลี่ยนไม่เติมอะไรใดๆ ทั้งสิ้น หรือแบบที่เราจำกันมาตลอดว่า Sub + will + V1 นั้นแหละ เราก็จำว่า ถ้าจะบอกว่า จะทำนู้น จะไปนี่ จะเอานั่น เราก็แค่ใช้ “will + verb” ข้างหลังที่ไม่ต้องไปเติมไรให้มันอีก เพราะ will บอกไปหมดแล้วว่ามันเป็นอนาคต เราเหลือแค่ต้องบอกว่าจะทำอะไร แค่นั้นพอ อย่าเยอะ! ***ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I will eating. I will eaten. ผิดทันที !!!!!!!!!!*** | |||
(Verb to be ก็คือ is am are เป็น อยู่ คือ ที่ท่องกันมานั้นแหละ) "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to be + Ving โดยที่เราผันตัว V.to be ไปตามเวลาของมัน แต่ Ving คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Continuous คือ Ving" • Present Continuous ก็เลยจะเป็น Sub + is/am/are + Ving ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I'm kicks. I'm loves. ผิดทันที!!! แต่ถ้าเจอ I'm kicked. I'm loved. อาจจะไม่ผิดนะ เป็นรูปประโยคแบบ Passive Voice ต้องแปลความหมายเอา แต่พวก I'm said....ผิดทันที • Past Continuous รูปประโยคแบบเดิมเปี๊ยบแต่เราผันตัว is/am/are ให้กลายเป็นอดีตไปซะ ก็จะได้เป็น Sub + was/were + Ving • Future Continuous พอเป็นอนาคต เราก็ต้องใช้ “will” มาบอกว่าเรา "จะทำ" แล้วหลัง will มันต้องไม่เปลี่ยน ไม่เติมอะไร เราก็เลยได้เป็น “Sub + will + be + Ving” และ “be” ตรงกลางนั่นก็มาจาก V. to be ไง จำได้มั้ยรูปประโยคต้องเป็น V.to be + Ving ตลอด สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่องContinuous ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน จะมีกรอบสีเหลืองที่เป็น V.to be ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีส้ม คือ Vingตลอด !!!!!!!!! | |||
"มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to have + V3 โดยที่เราผันตัว V.to have ไปตามเวลาของมัน แต่ V3 คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Perfect คือ V3" • Present Perfect ก็เลยเป็น "Sub + has/have + V3" ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He, She,I t, คน สัตว์ ของ 1 อัน) ก็ใช้ "has" ถ้าเป็นพหูพจน์ (You, We, They, คน สัตว์ ของมากกว่า 1) ก็ใช้ "have" • Past Perfect แบบประโยคเหมือนเดิม แต่เราต้องทำ has/have ให้มันเป็น ช่อง 2 เพราะ V2 คือ V ที่บอกอดีต แล้วช่อง 2 ของ has/have ก็คือ had เราเลยได้เป็น "Sub + had + V3" อุต๊ะ ง่ายจิมจิม!! • Future Perfect พอเป็นอนาคตก็ต้องบอกว่า "จะ..." เหมือนเดิม ได้เป็น "Sub + will + have + V3" เพราะหลัง will บอกแล้วว่า verb มันต้องธรรมดา ไม่เติม ไม่เปลี่ยน เลยต้องกลับมาใช้ have ธรรมดา แล้วก็ตามด้วย V3 ซะ ได้ Perfect ด้วย แล้วยังเป็น Future อีกต่างหาก ***และใช้ have อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่has จำซะว่าเราเน้นบอกว่ามันเป็นอนาคต ส่วน Perfect เราแค่มี have + V3 มันก็ perfect แล้วไง ไม่ต้องไป has ให้มันเยอะ!! ดังนั้นเมื่อไหร่ใช้ will has ..... หรือ will had..... หรือ will v3..... ผิดทันที !!!!!!!!*** สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน จะมีกรอบสีพีชที่เป็น V.to have ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีชมพู คือ V3 ตลอด !!!!!!!!! | |||
"ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Perfect Continuous มันก็เลยต้องมีทั้ง Perfectคือ have + V3 แล้วก็ Continuous ก็คือVing ด้วย รูปประโยคของมันก็เลยเป็น Sub + V. to have + V.3 (ซึ่งในที่นี้คือ been ซึ่งเป็นช่อง 3 ของ be) + Ving" • Present Perfect Continuous จากรูปแบบมันเราเลยได้เป็น"Sub + has/have + been + Ving" โดย has/have been ก็บอกความเป็น perfect ส่วน Ving ก็บอกความเป็น Continuous จับมาต่อกัน • Past Perfect Continuous จับ has/have มาทำเป็นอดีตซะ ที่เหลือไม่ต้องเปลี่ยน ก็ได้เป็น “Sub + had + been + Ving” ซึ่ง had ก็บอกว่าเป็นอดีต แล้ว had+been ก็บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous ครบ!!! • Future Perfect Continuous เป็น future เมื่อไหร่ ใช้ will เมื่อนั้น! มี will เมื่อไหร่หลัง will เป็น have เท่านั้น เราก็เลยได้ว่า “Sub + will + have + been + Ving” โดย wil บอกความเป็นอนาคต have been บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous !!!!! ***ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ใช้*** will + has + been + Ving ผิดทันที! will + been + Ving ผิดทันที! will + have + be + Ving ผิดทันที !!!!!!! สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect Continuous ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ปัจจุบัน อดีต อนาคต จะมี Sub + V.to have ในกล่องสีพีช + been แล้วตบท้ายด้วย Ving ตลอด !!!!!!!!!!! |
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557
จำ 12 tense
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
มาเรียนภาษาเยอรมันกันเถอะ! - ภาคไวยากรณ์
ชื่อเรียกของแต่ละตัวอักษรในภาษาเยอรมัน
*เป็นเสียงที่ประมาณในภาษาไทยได้ยาก ให้ฟังเสียงในไฟล์ดีๆ
กฎทั่วไปในการออกเสียง
· โดยทั่วไปเหมือนกับภาษาอังกฤษ
· ระวังเรื่อง accent ด้วย คำส่วนใหญ่จะมี accent อยู่ที่พยางค์แรก แต่ก็มีคำยกเว้นที่เป็นคำซึ่งมาจากต่างประเทศอยู่เหมือนกัน
· เสียงสระเป็นเสียงสั้นไม่ก็ยาว สระที่ลง accent จะออกเสียงยาว
· แต่ถ้าหลังจากสระเป็นพยัญชนะสองตัวขึ้นไปเรียงติดกัน จะออกเสียงสระเป็นเสียงสั้น
· คำประสมจะลง accent แยกจากกัน
เสียงสระ (เสียงอ่านภาษาไทยเป็นเสียงโดยประมาณ ลองฟังแล้วพยายามออกเสียงเลียนแบบเสียงจริง)
คำอธิบายอย่างไม่เป็นทางการของผู้เขียนสำหรับเสียงสระบางเสียง
· ตัว e ออกเสียง “เอ” แต่ฉีกปากให้กว้างกว่าปกติ ในขณะที่ตัว ä ออกเสียง “เอ” ธรรมดา
· เสียง ö ทำปากให้ริมฝีปากห่อเป็นวงกลมเหมือนจะพูดว่า “โอ” แต่ออกเสียงว่า “เอ” (o-e)
· เสียง ü ทำปากให้ริมฝีปากห่อเป็นวงกลมเหมือนจะพูดว่า “อู” แต่ออกเสียงว่า “อี” (u-i)
เสียงพยัญชนะที่ควรระวัง
คำอธิบายอย่างไม่เป็นทางการของผู้เขียนสำหรับเสียงของบางพยัญชนะ
· b, d, g ถ้าเป็นตัวสะกดให้ออกเป็น p, t, k ตามลำดับ
· ch ที่ตามหลัง a, o, u หรือ au ออกเสียง ฮ+(สระก่อนหน้านั้น) แบบเป่าออกมาเพียงแต่ลมหายใจ อย่าง Bach, Koch, Buch, Bauch จะออกเสียงประมาณ บา(ฮ)า คอ(ฮ)อ บู(ฮู) เบาโ(ฮ)
· -ig ออกเสียงราวๆ อิ(ฮิ) คล้ายๆ กับกรณี ch แต่เป็นเสียง ฮิ (มีแต่ลมหายใจ) ลงท้าย
· sp, st ที่ขึ้นต้นคำ ออกเสียง s เป็นเสียง ชุ (=shu) ต่างจากในภาษาอังกฤษที่ออกเป็นเสียง สะ
· t ในคำจากต่างประเทศที่อย่าง Nation, Patient ออกเสียงเป็น [ts] ในกรณีนี้คือ Nat-si-on และ Pat-si-ent
ฝึกออกเสียง
ตัวเลข
ระวังการออกเสียงตัวเลข 16 sechzehn เซ็ก(ฮิ)-เซน กับ 60 sechzig เซ็ก(ฮิ)-ซิ(ฮิ)
· ตัวเลข 13 ถึง 19 ก็คือ 3 ถึง 9 ตามด้วยคำว่า ~zehn (สิบ) คล้ายๆ กับภาษาอังกฤษที่เป็น thirteen, fourteen, fifteen… nineteen แต่ว่าให้ระวังคำอ่านของ 16 (sechzehn) กับ 17 (siebzehn) ที่จะเพี้ยนไปจากปกติ 6 sechs, 7 sieben
· ตัวเลข 20, 30 … 90 นั้นตามหลังด้วย ~zig แต่ให้ระวังตรง 30 dreißig (เปลี่ยนจาก z เป็น ß) 60 sechzig และ 70siebzig
· 22 อ่านว่า zweiundzwanzig ซึ่งแยกส่วนได้เป็น zwei|und|zwanzig คือ สอง|และ|ยี่สิบ
ในทำนองเดียวกัน 23 คือ dreiundzwanzig (drei|und|zwanzig) = สาม|และ|ยี่สิบ หรือ 25 คือ fünfundzwanzig (fünf|und|zwanzig) = ห้า|และ|ยี่สิบ สังเกตว่า 21 อ่านว่า einundzwanzig คือในกรณีนี้เลข 1 อ่านว่า ein
· ตั้งแต่ 100 ขึ้นไปอ่านจากหลักทางซ้าย + สองหลักสุดท้ายอย่างเช่น123 อ่านว่า hundertdreiundzwanzig (hundert|dreiundzwanzig)= หนึ่งร้อย|สามและยี่สิบ
คำทักทาย
Guten Morgen, Herr Meyer! – Guten Morgen, Frau Müller!
Good morning, Mr. Meyer! – Good morning, Mrs. Müller!
อรุณสวัสดิ์ คุณไมเยอร์ – อรุณสวัสดิ์ คุณนายมุลเลอร์
Guten Tag, Doris! – Guten Tag, Ulrike!
Hello, Doris! – Hello, Ulrike! (จริงๆ Guten Tag แปลว่า Good day)
สวัสดี ดอริส – สวัสดี อุลริเก
Guten Abend, liebe Zuschauer!
Good evening, dear listeners!
สวัสดีตอนเย็นครับ ท่านผู้ฟังที่รัก
Gute Nacht!
Good night!
ราตรีสวัสดิ์
Wie geht es Ihnen? – Danke, gut. Und Ihnen? – Danke, auch gut.*
How are you? – I’m fine, thank you. And you? – I’m fine too, thank you.
สบายดีรึเปล่าครับ? – สบายดีค่ะ แล้วคุณล่ะคะ? – ผมก็สบายดีครับ
Wie geht’s dir? – Danke, gut. Und dir? – Danke, es geht.**
How’s it going? – Fine thanks. And you? – Well, so-so.
นายเป็นยังไงบ้าง? – ก็ดีนิ แล้วนายล่ะ? – ก็พอไหวล่ะนะ
Auf Wiedersehen! – Auf Wiedersehen!
Good bye! – Good bye!
ลาก่อนครับ – ลาก่อนค่ะ
Tschüs, bis morgen! – Tschüs! (ออกเสียงเป็น Tschüss ก็มี)
Bye, until tomorrow! – Bye!
แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ – แล้วเจอกัน
Danke schön! – Bitte schön!
Thank you very much. – You’re welcome.
ขอบคุณมากครับ – ไม่เป็นไรค่ะ
* ประโยคใช้ถามคนที่ไม่สนิทกัน (Ihnen = คุณ)
** ประโยคใช้ถามคนที่สนิทกัน (dir = นาย, เธอ, แก)
ชื่อฤดูกาล เดือน วัน ช่วงเวลา
ฤดูกาล
เดือน
วัน
· Tag แปลว่า Day (วัน) วันส่วนใหญ่จึงลงท้ายด้วย ~tag
· Mittwoch มาจาก Mitte (mid กลาง) + Woche (week สัปดาห์) เพราะฉะนั้น Mittwoch จึงมีความหมายราวๆ mid-week หรือ “กลางสัปดาห์” นั่นเอง
· Sonnabend เป็นคำที่ใช้ในแถบเยอรมันทางเหนือ มาจาก Sonne (sun พระอาทิตย์) + Abend (evening ตอนเย็น) รวมกันอาจจะเป็น sun-evening อาจจะทำให้คิดว่าเป็นเย็นวันอาทิตย์ แต่จริงๆ ความหมายเดิมคือ “เย็นก่อนวันอาทิตย์” ก็คือวันเสาร์นั่นเอง
ช่วงเวลา
· เหมือนก่อนหน้านี้ Mittag มาจาก Mitte (mid กลาง) + Tag (day วัน)
· vor แปลว่า in front of (ก่อนหน้า) ดังนั้น Vormittag จึงแปลว่า “ก่อนเที่ยง” หรือ สาย นั่นเอง
· nach แปลว่า after, pass (หลังจาก) ดังนั้น Nachmittag ก็คือ “หลังเที่ยง” หรือ บ่าย นั่นเอง
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)