วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน

5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน

1. โตขึ้นอยากทำงานอะไร
ปกติวิธีที่น้องๆ ทำอยู่คือ คิดก่อนว่าจะเรียนอะไรดี แล้วค่อยคิดต่อว่าจบออกมาแล้วจะทำงานอะไร ซึ่งหลายคนตันเพราะวิธีคิดแบบนี้ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเราเหมาะจะเรียนคณะไหน แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีโดยให้คิดข้ามไปอนาคตเลยว่าอยากทำงานอะไร เช่น หากอยู่ ม.6 ก็นึกข้ามไปเลยว่าอีก 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นอะไร เป็นการมองที่จุดหมายปลายทางเลย การมองถึงอาชีพในอนาคตจะช่วยสโคปแนวทางการเรียนให้ชัดเจนขึ้น น้องๆ ก็จะหาต่อได้ว่าถ้าอยากทำงานนั้นจะต้องเรียนคณะใด เช่น
  • โตขึ้นอยากเป็นครู ก็ต้องเรียนคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ หรือเรียนคณะที่สามารถไปต่อยอดเป็นครูได้
  • โตขึ้นอยากเป็นเภสัชกร ก็ต้องเรียนคณะเภสัชศาสตร์
  • โตขึ้นอยากเป็นวิศวกร ต้องเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์
อย่างไรก็ตามมีบางอาชีพที่เรียนได้หลายสาขา เพราะไม่ได้เป็นวิชาชีพเฉพาะทาง เช่น อยากเป็นแอร์โฮสเตส น้องๆ สามารถเรียนตรงสายอย่างการจัดการการบินก็ได้ นอกจากนี้สายมนุษยศาสตร์ อักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ นิเทศศาสตร์ ฯลฯ ก็เป็นแอร์โฮสเตสได้ หากมีคุณสมบัติถึง เช่น ทักษะด้านภาษา บุคลิกภาพ เป็นต้น
ดังนั้นถ้าน้องคนไหนยังคิดไม่ตกว่าอยากเรียนอะไร ลองนึกดูว่าอยากทำงานอะไร วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีคิดที่รวบรัดและค่อนข้างได้ผลมาก หากมีอาชีพที่ชอบหลายอาชีพ จดมาหลายๆ อาชีพก็ได้ค่ะ แล้วค่อยมาวิเคราะห์ต่อด้วยตัวแปรอื่นๆ ข้อต่อไป สุดท้ายจะได้แนวทางที่เหมาะกับเราที่สุดเอง
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
2. หาความชอบและสิ่งที่ถนัด
ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม หากได้ทำสิ่งที่ชอบและถนัดจะทำให้ทำสิ่งนั้นได้ดีเสมอ ว่างๆ ลองนั่งอยู่กับตัวเองซักวันนึง หากิจกรรมที่ชอบและสิ่งที่เราถนัด และถ้าให้ดีหาเผื่อไปถึงความสามารถพิเศษเลยก็ได้ จดไว้ให้เยอะที่สุด เช่น ชอบวาดภาพ ชอบร้องเพลง ชอบทำอาหาร ชอบเล่นเว็บบอร์ด ฯลฯ ความชอบและความสามารถพิเศษเหล่านี้สามารถต่อยอดไปทั้งการเรียนและการทำงานได้นะคะ บางอย่างที่คนอื่นมองว่าไร้สาระ แต่อาจช่วยให้คนๆ นั้นได้เรียนในสิ่งที่เค้าชอบและมีความสุข แถมยังได้ทำงานที่ตัวเองรักอีกด้วย พี่มิ้นท์ยกตัวอย่างให้ดู 2 ตัวอย่างนะคะ
คนแรก ชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก ซึ่งเด็กๆ ฝีมือวาดก็ไก่กามาก แต่ยิ่งโตเขาก็ยิ่งพัฒนาตัวเอง ฝึกวาดรูปบ่อยๆ สุดท้ายความชอบในการวาดรูปก็ทำให้ได้เรียนในคณะศิลปกรรม และจบมาก็ยังเป็นจิตรกรวาดภาพสร้างรายได้อีกมากมาย
คนที่สอง ชอบเล่นเกมมาก เด็กๆ ติดเกมงอมแงม เรียน ม.ปลายมาก็ยังติดเกมไม่เลิก หากเป็นคนอื่นก็คงคิดว่าเกมเป็นแค่เรื่องบันเทิง เล่นแล้วก็จบไป แต่สำหรับคนนี้ความคิดแตกต่างจากคนอื่นคือ การใช้ความชอบเป็นแรงผลักดัน จากคนที่ชอบเล่นเกมก็มีแรงบันดาลใจอยากเป็นคนสร้างเกมบ้าง สุดท้ายก็เดินหน้าเลือกเรียนในคณะที่เปิดสอนเรื่องการออกแบบเกม เป็นต้น
ฉะนั้นเอาจุดเด่นในเรื่องความชอบและความถนัดของเราออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ค่ะ เรียนรุ่งแน่นอน
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
3. วิชาที่ชอบบอกคณะได้
อีกหนึ่งเทคนิคที่พลาดไม่ได้เลย คือ หาวิชาที่เราชอบ ซึ่งวิชาใน ม.ปลาย อาจจะเยอะ ดังนั้นให้น้องเตรียมกระดาษมาจดเลยค่ะ แบ่งครึ่งหน้ากระดาษคือ วิชาที่ชอบ กับวิชาที่ไม่ชอบ
วิชาที่ชอบ คือ วิชาที่น้องๆ เรียนแล้วสนุก รู้สึกอินทุกครั้งที่เรียน ไม่อยากขาดเรียนเลยซักคาบ ส่วนวิชาที่ไม่ชอบ ก็คือวิชาที่ยิ่งเรียนยิ่งเหนื่อย ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งเครียด
การแยกวิชาที่ชอบและไม่ชอบทำให้น้องๆ เห็นอนาคตของตัวเองมากขึ้นว่าควรเน้นไปทางแนวไหน เพราะแต่ละคณะมีวิชาเรียนที่แตกต่างกัน เช่น ชอบเลข ก็เหมาะคณะบัญชี บริหาร เศรษฐศาสตร์หรือคณะอื่นๆ ที่มีการคำนวณ บางคนชอบภาษาอังกฤษ เกลียดเลข ก็อาจเน้นไปเรียนด้านภาษาไปเลย ซึ่งในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีเรียนเลขด้วย หรือบางคนชอบสังคมฯ กับภาษา ก็เหมาะจะเรียนพวกสายมนุษยศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ รัฐศาสตร์ จบไปเป็นทูต นักสังคมฯ นักข่าว เป็นต้น
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
4. เลิกตามเพื่อน
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการ “ค้นหาตัวเอง” ถ้ามัวแต่ตามเพื่อน น้องๆ จะไม่มีวันเจอสิ่งที่ตัวเองต้องการแน่นอน เข้าใจว่าช่วงวัยรุ่นติดเพื่อน อยากเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมเพื่อน แต่ถ้าคณะที่เพื่อนเรียนเราไม่ได้อยากเรียนเลยสักนิด ผลเสียจะตกที่เราเต็มๆ นะคะ อย่างแรกคือเสียการเรียนเพราะอาจเรียนไม่ไหว อย่างที่สองคือเสียใจ หากพบว่าเรียนไม่ไหวแล้วต้องสอบเข้าปี 1 ใหม่อีกรอบ ดังนั้นอยากค้นหาตัวเองให้เจอเร็วๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าเรียนจบไปทุกคนต้องเรียนต่อในสิ่งที่ตัวเองต้องการ หากคิดแบบนี้ได้น้องๆ จะเริ่มค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบได้ โดยไม่ต้องตามเพื่อนอีกต่อไป
ส่วนใครที่กลัวว่าไม่มีเพื่อนตอนเรียนมหาวิทยาลัย เลิกคิดไปได้เลยค่ะ การเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นสังคมที่ใหญ่มาก คนมาจากทั่วสารทิศ ทุกคนต่างใหม่เหมือนกันหมด เป็นโอกาสดีที่เราจะได้รู้จักกันไว้ ดีไม่ดีได้เพื่อนเยอะกว่าตอนเรียนมัธยมอีกค่ะ และถึงจะเรียนกันคนละที่ เพื่อนเก่าก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
5 เทคนิคค้นหาตัวเองเข้าคณะที่อยากเรียน
5. บุคลิกบอกอนาคต
น้องๆ เคยสังเกตมั้ยว่าคนที่บุคลิกคล้ายๆ กันจะชอบอะไรเหมือนๆ กัน และคนที่ทำงานในแต่ละอาชีพจะมีบุคลิกที่แตกต่างกันไป เพราะบุคลิกที่เหมาะสมในแต่ละอาชีพจะทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือทำให้เราทำงานอย่างมีความสุขด้วย เช่น ถ้าน้องๆ เป็นคนชอบสอน ชอบอธิบาย อาชีพ “ครู” จะเหมาะมาก ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยรอบคอบจะให้ไปเป็นนักบัญชีก็คงไม่เหมาะ
 http://teen.mthai.com/education/61015.html
http://teen.mthai.com/education/61015.html
จิตวิทยาตาม หลักทฤษฎีการเลือกอาชีพของฮอลแลนด์ (John L. Holland)
ได้บอกไว้ว่าการสังเกตบุคลิกภาพของตัวเองสามารถค้นหาอาชีพที่เหมาะสมได้ โดยมี 6 ประเภท คือ
1.Social ชอบพบปะผู้อื่น ชอบงานบริการ ชอบช่วยเหลือคน ชอบการสอน ไม่ชอบงานที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ อาชีพที่เหมาะสมเช่น หมอ ครู ประชาสัมพันธ์ นักฝึกอบรม มัคคุเทศก์ กลุ่มงานโรงแรม คณะที่คนกลุ่มนี้มักจะเลือกก็จะเป็นแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ แนวคณะสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ การโรงแรม เป็นต้น
2.Investingate ชอบงานวิชาการ งานที่ซับซ้อนท้าทาย ชอบวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และคำนวณ ช่างสังเกต ไม่ชอบเข้าสังคม อาชีพที่เหมาะสมเช่น นักวิจัย นักวิชาการ หรืองานที่เกี่ยวข้องเชิงวิชาการ คณะที่คนกลุ่มนี้มักจะเลือกคือ คณะวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น
3.Realistic ชอบงานที่ใช้เครื่องมือ ชอบการลงมือทำ ไม่ชอบการเข้าสังคม กลุ่มงานที่เหมาะสมก็จะเป็นกลุ่มงานช่าง วิศวกร สถาปนิก นักประดิษฐ์ เกษตรกร คณะที่เลือกได้ก็เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ เกษตร เทคนิคการแพทย์
4.Enterprising ชอบการวางแผนและชี้นำ กล้าแสดงออก มีความเป็นผู้นำ โน้มน้าวใจเก่ง งานที่เหมาะสมเช่น นักธุรกิจ การตลาด นายหน้าซื้อขาย ทนายความ ฯลฯ คณะที่คนกลุ่มนี้ชอบเลือกเช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์
5.Convention ชอบงานเอกสาร ตัวเลข การจัดเก็บข้อมูล ละเอียดรอบคอบ ตรงไปตรงมาไม่ค่อยยืดหยุ่น มีระเบียบ ไม่มีหัวด้านศิลปะ ชอบบรรยากาศการทำงานออฟฟิศ อาชีพที่เหมาะสม เช่น เลขาฯ นักบัญชี บรรณารักษ์ ธุรการ คณะที่คนกลุ่มนี้มักเลือกเรียนเช่น คณะบัญชี บริหาร สารสนเทศศาสตร์
6.Artistic ชอบแสดงออก รักอิสระ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ค่อยมีระเบียบ อ่อนไหวง่าย มีอารมณ์ศิลปิน กลุ่มงานที่เหมาะสมจะเป็นแนวบันเทิง ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออก เช่น นักแสดง นักจัดรายการ นักดนตรี นักแปล นักออกแบบ ศิลปิน คณะที่คนกลุ่มนี้มักเลือกเรียนเช่น อักษรศาสตร์ นิเทศศาสตร์ ศิลปกรรม



90 คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค ได้ใช้แน่นอน

90 คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค ได้ใช้แน่นอน


วันนี้ teen.mthai.com จะมาแนะนำ?90 คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค ได้ใช้แน่นอน?คำกริยาบางคำที่จะช่วยอัพเกรดให้เรียงความของน้องๆ นั้นดูไฮโซขึ้นค่ะ ถ้าเลือกได้ดี ผลงานเราก็จะมีราศีเพิ่มขึ้นค่ะ?เชื่อว่าหลายๆ คนเวลาเขียนเรียงความหรือเขียนการบ้านส่งอาจารย์ ก็จะวนเวียนใช้แค่คำว่า do, have, get ไม่ก็ make แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายคำให้เราเลือกใช้เลยล่ะค่ะ^^
A lot of people don’t want to make their own decisions. They’re too scared. It’s much easier to be told what to do.
“คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะตัดสินใจ พวกเขากลัวเกินไป พวกเขาเลือกที่จะเชื่อฟังคำสั่งคนอื่นมากกว่าการตัดสินใจด้วยตัวเอง”
Marilyn Manson
เรียบเรียง teen.mthai.com อ้างอิง พี่พิซซ่า เด็กดีดอทคอม
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค
โดยพี่แบ่งคำกริยาออกเป็น 9 หมวดนะคะ ตามทักษะด้านต่างๆ ได้แก่ ทักษะการจัดการ, ทักษะการสื่อสาร, ทักษะงานธุรการ, ทักษะการวิจัย, ทักษะทางเทคนิค, ทักษะการสอน, ทักษะทางการเงิน, ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการช่วยเหลือ เราไปดูกันทีละหมวดนะคะ
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค หมวด?ทักษะการจัดการ
Administer จัดการ, ดำเนินงาน, บริหาร, ดูแล
As a president, I helped the principal administer the school.
ในฐานะประธาน ฉันช่วยครูใหญ่ดูแลโรงเรียน
Analyze วิเคราะห์
I am good at analyzing the situation.
ฉันเก่งในการวิเคราะห์สถานการณ์
Assign มอบหมาย, กำหนด, สั่งให้
During the Work and Travel program last year, I was assigned to supervise my friends.
ช่วงโครงการเวิร์คแอนด์ทราเวลปีที่แล้ว ฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลเพื่อนๆ
Attain ถึง, ได้มา, สำเร็จ, บรรลุเป้าหมาย
I have attained the highest grade in the Biology exams.
ฉันได้เกรดสูงสุดในข้อสอบชีววิทยา
Coordinate ประสานงาน, ทำงานด้วยกัน
I coordinated the school activity.
ฉันประสานงานกิจกรรมโรงเรียน
Develop พัฒนา, เติบโต, ทำให้เจริญ
I want to develop my country?s economy.
ฉันอยากจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศฉัน
Improve ทำให้ดีขึ้น, ปรับปรุง
I still have one more semester; I will improve my grade to meet the school requirements.
ฉันยังเหลืออีกหนึ่งเทอม ฉันจะทำเกรดให้ดีขึ้นเพื่อให้ถึงเกณฑ์สมัครเข้าเรียนคณะนี้
Increase เพิ่ม, เพิ่มขึ้น, มากขึ้น
Due to the increasing of the unemployment rate, better education is not the only solution.
เนื่องจากอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น การศึกษาที่ดีขึ้นจึงไม่ใช่ทางแก้เพียงทางเดียว
Organize จัดตั้ง, จัดระบบ, จัดระเบียบ
My student committee organized a meeting between the teachers and students. คณะกรรมการนักเรียนได้จัดการประชุมระหว่างอาจารย์และนักเรียน
Prioritize จัดลำดับความสำคัญ
I have an ability to prioritize work.
ฉันสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้
Arrange จัดเตรียม, เตรียมการ, ตกลง
Last year I arranged an informal visit to the Ministry of Commerce
ปีที่แล้วฉันเตรียมการไปเยี่ยมชมที่กระทรวงพาณิชย์อย่างไม่เป็นทางการ
Author เขียน, แต่งหนังสือ, ประพันธ์
I always wanted to be somebody so someone could author my biography.
ฉันอยากเป็นคนดัง/มีค่าเพื่อที่จะได้มีคนเขียนหนังสือชีวประวัติของฉัน
Correspond เขียนโต้ตอบกัน, เหมือนกัน, สอดคล้อง
Your curriculum exactly corresponds with my study plan.
หลักสูตรของคุณสอดคล้องกับแผนการเรียนของฉัน
Edit แก้ไข, ตรวจแก้, ทำให้ถูกต้อง, เรียบเรียง, เป็นบรรณาธิการ
As a president of the school newspaper club, one of my duties was to edit the school newspaper.
ในฐานะที่เป็นประธานชมรมหนังสือพิมพ์โรงเรียน หนึ่งในหน้าที่ของฉันคือตรวจแก้หนังสือพิมพ์โรงเรียน
Influence มีอิทธิพลต่อ, ชักจูง
Influenced by Mozart, I produced this piece.
ฉันสร้างผลงานชิ้นนี้โดยได้อิทธิพลจากโมสาร์ท
Interpret เข้าใจ, ตีความ, อธิบาย, แปลความ
I interpreted the quantum physics textbook to my classmate.
ฉันอธิบายหนังสือเรียนเรื่องควอนตัมฟิสิกส์ให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค หมวด?ทักษะการสื่อสาร
Mediate ไกล่เกลี่ย, ทำให้ประนีประนอม, ทำให้ตกลงกันได้
In many students? fights, I was appointed to mediate the arguments.
ในการทะเลาะเบาะแว้งของนักเรียนหลายๆ ครั้ง ฉันจะได้รับมอบหมายให้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
Motivate กระตุ้น, ให้แรงบันดาลใจ, ดลใจ, จูงใจ
My action was motivated by a desire to make a better community.
ความต้องการที่จะทำให้ชุมชนดีขึ้นเป็นแรงกระตุ้นให้ฉันทำลงไป
Negotiate เจรจาต่อรอง, เจรจาตกลง
I have good negotiating skills.
ฉันมีทักษะการต่อรองที่ดี
Persuade ชักจูง, ชักนำ, เกลี้ยกล่อม, โน้มน้าว
Nothing could persuade me to change my mind.
ไม่มีอะไรมาทำให้ฉันเปลี่ยนใจได้
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค หมวด?ทักษะงานธุรการ
Classify จัดกลุ่ม, แบ่งประเภท, จำแนก, จัดหมวดหมู่
No matter what they say about his work, I classify his music as rock.
ไม่ว่าคนจะว่ายังไงกับผลงานของเขา ฉันจัดให้เพลงของเขาเป็นเพลงร็อค
Collect เก็บ, รวบรวม, สะสม, ได้มา
We were collecting money for the homeless.
เราเรี่ยไรเงินให้คนไร้บ้าน
Dispatch ส่งออก, จ่ายงาน, รีบทำ, เดินหนังสือ, ส่งอย่างรวดเร็ว, กำจัด
I resigned from being a messenger because sometimes I got a call to dispatch the parcel during my class.
ฉันลาออกจากการเป็นพนักงานส่งของ เพราะบางครั้งฉันถูกเรียกตัวออกไปส่งพัสดุในเวลาเรียน
Execute ดำเนินการ, ปฏิบัติการ, กระทำการ, สร้าง
I carefully execute the plan. ฉันปฏิบัติตามแผนด้วยความระมัดระวัง
Inspect ตรวจสอบ, พินิจ, สำรวจ
I want to learn how to inspect counterfeit bank notes.
ฉันอยากเรียนวิธีตรวจสอบธนบัตรปลอม
Operate ปฏิบัติงาน, ปฏิบัติการ
My final project is making a wireless router that can operate underwater.
โปรเจ็คต์จบของฉันคือสร้างไวร์เลสเราเทอร์ที่ทำงานใต้น้ำได้
Prepare จัดเตรียม, เตรียมตัว, เตรียมพร้อม
I prepared well for exams. ฉันเตรียมตัวมาสอบอย่างดี
Process ดำเนินการ, ลงมือปฏิบัติ
I would like to have this film processed. ฉันอยากให้ลงมือทำหนังเรื่องนี้
Screen ปกปิด, กลั่นกรอง, คัดเลือก, แยกออก, ปกป้องคนผิด
I want to join the movie committee to help screening kids? movies.
ฉันอยากทำงานในคณะกรรมการภาพยนตร์เพื่อที่จะได้ช่วยกรองภาพยนตร์สำหรับเด็ก
Specify กำหนด, ระบุ, เจาะจง
I can specify the cause of the problem. ฉันสามารถระบุสาเหตุของปัญหานี้ได้
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค หมวด?ทักษะการวิจัย
Clarify ทำให้เข้าใจง่าย, ทำให้ชัดเจน
Allow me to clarify my statement. ขออนุญาตอธิบายคำพูดของฉันให้ชัดเจน
Critique วิจารณ์, ถกประเด็นอย่างจริงจัง
I critiqued their paintings. ฉันวิจารณ์ภาพเขียนของพวกเขา
Diagnose วินิจฉัย, วิเคราะห์, พิจารณา
More than 30,000 women are diagnosed with skin cancer every year.
ทุกปีผู้หญิงกว่าสามหมื่นคนวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง
Extract สกัด, ดึง, คัดลอก, ได้มาจาก
The following table is extracted from my report.
ตารางต่อไปนี้ดึงมาจากรายงานของฉัน
Identify แยกแยะ, ชี้ตัว, ระบุ
Because of my personality, my classmates identified me as a happy nerd.
บุคลิกของฉันทำให้เพื่อนร่วมชั้นระบุว่าฉันเป็นเด็กเรียนที่มีความสุข
Interview สัมภาษณ์
After I interviewed your alumni for my school presentation, I knew that I had to further my study here.
หลังจากที่ฉันได้สัมภาษณ์ศิษย์เก่าของคุณเพื่อการนำเสนอที่โรงเรียน ฉันก็รู้เลยว่าฉันต้องมาเรียนต่อที่นี่
Investigate สอบสวน, สืบสวน, สำรวจ, เจาะลึก
The course syllabus of Bioethics101 said that the student will investigate the use of the cloning technology.
ใบประมวลรายวิชาชีวจริยธรรม101 บอกว่านักศึกษาจะได้สำรวจการใช้เทคโนโลยีการโคลน
Review ทบทวน, พิจารณาใหม่
My book has been published for more than 500,000 copies. I also reviewed others? books.
หนังสือของฉันตีพิมพ์ไปแล้วกว่าห้าแสนเล่ม และฉันยังพิจารณาผลงานของคนอื่นด้วย
Summarize สรุป, ย่อ, รวมความ
I summarized the lectures. ฉันสรุปย่อเล็กเชอร์ในห้อง
Survey สำรวจ, ตรวจสอบ
I believe in surveying the problem in wide perspective.
ฉันเชื่อในการตวจสอบปัญหาให้แง่มุมต่างๆ
90 คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค ได้ใช้แน่นอน
90 คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค ได้ใช้แน่นอน
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค หมวด?ทักษะทางเทคนิค
Assemble รวบรวม, ชุมนุม, ประชุม, เอามารวมกัน
I love building furniture. I assembled every bookcase myself.
ฉันชอบสร้างเฟอร์นิเจอร์ ฉันประกอบตู้หนังสือด้วยตัวเองทุกตู้
Calculate คำนวณ, คาดคะเน, คิดเงิน
After calculating the living expenses, I am going to apply for a loan.
หลังจากคำนวณค่าใช้จ่ายแล้ว ฉันจะต้องสมัครขอเงินกู้ยืม
Design ออกแบบ, จงใจ, วางแบบแผน
I had designed the future eco-house.
ฉันได้ออกแบบบ้านประหยดพลังงานอนาคต
Engineer วางแผน, จัดโครงสร้าง, กำหนดโครงงาน, สร้าง
I want to engineer a unique ride for the theme parks.
ฉันอยากทำเครื่องเล่นที่ไม่เหมือนใครในสวนสนุก
Fabricate ประดิษฐ์, คิดค้น, สร้างบางอย่างโดยนำหลายสิ่งมารวมกัน, สร้างข้อมูลเท็จ
I confirm that the information was not fabricated.
ฉันยืนยันว่าข้อมูลนี้ไม่ได้ถูกปลอมแปลงขึ้นมา
Maintain เก็บ, รักษา, ยืนยัน, สานต่อ, ประคับประคอง
I believe I can maintain good grades while playing sports for the college.
ฉันเชื่อว่าฉันสามารถรักษาเกรดให้ดีพร้อมๆ กับเล่นกีฬาให้มหาวิทยาลัย
Program วางวิธีการให้, เขียนโปรแกรม
I have programmed for 5 years. ฉันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาห้าปีแล้ว
Remodel ปรับปรุง, เปลี่ยนแปลง, สร้างใหม่
I noticed that the library has been remodeled.
ฉันสังเกตว่าห้องสมุดปรับปรุงใหม่แล้ว
Solve แก้, แก้ปัญหา, ตีความ, คิดออก
Solving Sudoku puzzles is my favorite hobby.
การแก้ปริศนาซูโดกุเป็นงานอดิเรกที่ฉันชอบที่สุด
Train ฝึกอบรม, ฝึกฝน, ฝึกหัด, กล่อมเกลา
I trained three times a week.
ฉันฝึกสัปดาห์ละสามครั้ง
คำกริยาอังกฤษแต่งประโยค หมวด?ทักษะการสอน
Adapt ประยุกต์ใช้, ปรับ, ดัดแปลง, ทำให้เหมาะสม
The college?s motto can be adapted for everyday use.
คติพจน์ของมหาวิทยาลัยสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้
Advise แนะนำ, ให้คำปรึกษา, ตักเตือน
While I was a university student, I usually advised high school students.
ตอนที่ฉันเป็นนักศึกษา ฉันให้คำปรึกษาแก่นักเรียนมัธยมปลายบ่อยครั้ง
Coach ฝึก, สอน, อบรม
I coached the freshmen in French.
ฉันสอนภาษาฝรั่งเศสให้เด็กปีหนึ่ง
Communicate สื่อสาร, ติดต่อสื่อสาร, ถ่ายทอด, แจ้ง, ให้ความรู้
I can communicate in Japanese, Spanish and Arabic.
ฉันสามารถสื่อสารได้ด้วยภาษาญี่ปุ่น สเปนและอาหรับ
Enable ทำให้สามารถ, มอบอำนาจ, ให้สิทธิ, ให้อำนาจ, ทำให้เป็นไปได้
This scholarship will enable me to study abroad.
ทุนนี้จะทำให้ฉันสามารถเรียนต่อต่างประเทศได้
Encourage ส่งเสริม, สนับสนุน, ให้กำลังใจ, เชียร์
My family encourages me in my studies.
ครอบครัวสนับสนุนการเรียนของฉัน
Guide แนะนำ, แนะแนว, ชี้แนะ, ชักนำ
My life was guided by the family tradition.
ชีวิตของฉันถูกชี้นำโดยประเพณีของครอบครัว
Initiate ริเริ่ม, ประเดิม, ก่อเกิด, เริ่มต้น, พาไปให้รู้จัก, สอนทางประเพณี
I was initiated into the art of video games by my brother at the age of ten.
พี่ชายทำให้ฉันได้รู้จักศิลปะในวิดีโอเกมเป็นครั้งแรกเมื่อตอนฉันอายุสิบปี
Instruct สั่ง, แนะนำ, ชี้นำ, สั่งสอน
I was in the school library club instructing people the use of computer system.
ฉันอยู่ชมรมห้องสมุดโรงเรียน คอยสอนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก่คนอื่น
Set goals ตั้งเป้า
I have already set my goal since I was 15.
ฉันตั้งเป้าหมายไว้แล้วตั้งแต่ตอนอายุสิบห้าปี
Allocate จัดสรร, จัดแบ่ง, แบ่งปันสัดส่วน
The school allocates funds to improve the gym.
โรงเรียนจัดสรรเงินทุนไปพัฒนาโรงยิม
Appraise ประเมินค่า, ประเมินราคา, ตีราคา, ประเมิน
Teachers are asked to appraise their own performance after each class.
ครูถูกขอให้ประเมินผลการสอนของตนหลังจบแต่ละคาบ
Audit ตรวจสอบบัญชี
As a treasurer, I audited the account of the class.
ในฐานะเหรัญญิก ฉันตรวจสอบบัญชีห้อง
Balance คิดงบดุล, ทำให้สมดุล
I will change my lifestyle so the expenses could balance my budget.
ฉันจะเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเพื่อให้รายจ่ายสมดุลกับงบที่มี
Budget ให้งบประมาณ, ทำงบประมาณ
My scholarship came from the fund that has been budgeted from the school committee.
ทุนการศึกษาของฉันมาจากกองทุนที่คณะกรรมการโรงเรียนให้งบประมาณมา
Forecast ทำนาย, พยากรณ์, คาดการณ์, คำนวณล่วงหน้า
The popularity of this major is forecast to increase.
ความเป็นที่นิยมของสาขาเอกนี้ถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น
Market ขาย, วางตลาด, โฆษณาขาย, ทำการตลาด
Their products are very cleverly marketed.
สินค้าของพวกเขาทำการตลาดไว้อย่างชาญฉลาดมาก
Plan วางแผน, วางแผนงาน,วางโครงการ, ออกแบบ
I am planning to visit my sister in Egypt next year.
ฉันวางแผนไปเยี่ยมพี่สาวที่อียิปต์ปีหน้า
Project คำนวนตัวเลขในอนาคตจากข้อมูลปัจจุบัน, เสนอ, เสนอผลงาน, ทำให้เห็น, ทำให้ได้ยินชัดเจน
Government spending is projected to rise by 10% in 2 years.
รายจ่ายของรัฐบาลคำนวนไว้ว่าจะสูงขึ้นถึงร้อยละสิบในสองปี
Research วิจัย, ศึกษา, ค้นคว้า, สืบค้น
Last year I was here researching my new novel.
ปีที่แล้วฉันมาที่นี่เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลเขียนนิยายเล่มใหม่
Act ปฏิบัติ, ทำตัว, ประพฤติตัว
?Don?t act without thinking? is my motto.
อย่าทำโดยไม่คิดเป็นคติพจน์ของฉัน
Create สร้าง, แต่งตั้ง, สร้างสรรค์
I created the main characters based on my family.
ฉันสร้างตัวละครเอกขึ้นมาจากครอบครัว
Direct กำกับ, สั่งการ, จัดการ
I directed the school plays.
ฉันกำกับละครโรงเรียน
Establish ก่อตั้ง, จัดตั้ง, สร้าง, สถาปนา
I established the charity club with my best friends.
ฉันก่อตั้งชมรมการกุศลกับเพื่อนสนิท
Found ก่อตั้ง, สถาปนา, จัดตั้ง, สร้าง
My school was founded in 1955.
โรงเรียนของฉันก่อตั้งขึ้นในปี 1955
Illustrate แสดงให้เห็นภาพ, ตกแต่งด้วยภาพ
I illustrated the yearbook with funny pictures.
ฉันตกแต่งหนังสือรุ่นด้วยภาพตลกๆ
Introduce แนะนำ, เพิ่ม, เสริม, ทำให้รู้จัก, ใส่เข้าไป
I was introduced to computer science by my brother.
พี่ชายแนะนำให้ฉันรู้จักกับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
Invent ประดิษฐ์, คิดค้น, สร้างสรรค์
Within 5 years, I will invent the world?s cheapest solar car.
ภายในห้าปีฉันจะประดิษฐ์รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ถูกที่สุดในโลก
Perform แสดง
My goal is to perform live in Kodak Theatre.
เป้าหมายของฉันคือได้แสดงสดที่โรงละครโกดัก
Shape ทำให้เป็นรูปร่าง, ทำให้เกิดขึ้น, มีอิทธิพลต่อ
My childhood was shaped by a loving relationship with my grandparents.
ความสัมพันธ์อันดีกับปู่ย่าตายายมีอิทธิพลต่อชีวิตในวัยเด็กของฉัน
ทักษะการช่วยเหลือ
Assess กำหนดค่า, ประเมิน, ตีค่า
I dislike the college that assesses a student?s ability based on grades.
ฉันไม่ชอบมหาวิทยาลัยที่ตีค่าความสามารถของนักเรียนตามเกรด
Assist ช่วย, ช่วยเหลือ
I do not believe that academic record will assist me in my work.
ฉันไม่เชื่อว่าผลการเรียนจะช่วยฉันในการทำงาน
Counsel ให้คำแนะนำ, ให้คำปรึกษา
My father was being counseled for depression.
พ่อของฉันเคยเข้ารับคำปรึกษาเรื่องโรคซึมเศร้า
Demonstrate ทดลองให้เห็น, สาธิต
I demonstrated how to use the new software to my juniors.
ฉันสาธิตวิธีใช้ซอฟต์แวร์ใหม่ให้รุ่นน้องปีสาม
Expedite เร่ง, กระตุ้น, ทำให้เร็วขึ้น
With all the knowledge I will gain from here, I can expedite economic reforms in my country.
ฉันสามารถเร่งการปฏิรูปทางเศรษฐกิจในประเทศให้เกิดเร็วขึ้นได้ด้วยความรู้ต่างๆ ที่ฉันจะได้รับจากที่นี่
Educate ให้การศึกษา
I was educated from both school and church.
ฉันได้รับการศึกษาทั้งจากโรงเรียนและโบสถ์
Facilitate ทำให้สะดวกขึ้น, ทำให้ง่ายขึ้น
I like the fact that all schools here were located in the same campus to facilitate the sharing of resources.
ฉันชอบความจริงที่ว่าคณะทั้งหมดที่นี่อยู่ในวิทยาเขตเดียวกันทำให้การแบ่งปันแหล่งข้อมูลง่ายขึ้น
Familiarize ทำให้คุ้นเคย, ทำให้เคยชิน
I love exercises because they help familiarize with the technical terms.
ฉันชอบแบบฝึกหัดเพราะพวกมันช่วยให้คุ้นเคยกับคำศัพท์เฉพาะทาง
Refer อ้างถึง, กล่าวถึง, พูดถึง, อ้างอิง
America is often referred as a melting pot. So are you.
อเมริกามักถูกอ้างว่าเป็นเหมือนหม้อที่หลอมรวมวัฒนธรรมต่างๆ คุณ (มหาวิทยาลัยคุณ) ก็เช่นกัน
Represent ทำหน้าที่แทน, เป็นตัวแทน
I represented my school.
ฉันเป็นตัวแทนโรงเรียน

6 วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ

6 วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ


ช่วงนี้มี?ทุนไปเรียนนอกฟรี เยอะมากแต่น้องๆหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวยัง เริ่มอะไรก่อน วันนี้ teen.mthai.com ก็จะมาแนะนำ 6 วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ?…ซึ่งคำถามยอดฮิตที่ถามกันทุกวันคือ “ไม่เก่งอังกฤษจะไปเรียนต่อนอกได้มั้ย? ไม่เก่ง?อังกฤษจะสอบชิงทุนได้มั้ย?” นั่นสินะ …. จะได้มั้ย??
เรียบเรียง teen.mthai.com อ้างอิง พี่เป้ เด็กดี
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
ถ้าบ้านของน้องส่งไปเอง ออกค่าใช้จ่ายเอง ยังไงน้องก็มีโอกาสได้ได้อยู่แล้ว
ค่ะ พูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยว่า “เงิน” สามารถช่วยจัดการหลายๆ อย่างได้(ในระดับนึง) เช่น น้องสมัครเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองนอกไปโดยจะออกเงินเอง ไม่ได้ขอทุน โดย?ที่มีคะแนนสอบภาษาอังกฤษพวก TOEFL หรือ IELTS ไม่ค่อยดีนัก มหาวิทยาลัยเขาจะ?ยังไม่ปฏิเสธน้องทีเดียวเลยหรอกค่ะ แต่เขาจะยื่นข้อเสนอหรือ offer มาก่อนว่า “จะรับเข้าเรียนโดยต้องไปสอบ TOEFL หรือ IELTS ใหม่อีกรอบให้ผ่านตามคะแนนที่กำหนด”?ดังนั้นหากเราไปสอบมาใหม่ให้ได้คะแนนดีขึ้น จ่ายค่าเทอม แค่นี้ก็ได้ไปเรียนแล้ว
หรือในอีกกรณี หากน้องสมัครเรียนผ่านเอเจนซี่ ไม่มีเอเจนซี่ที่ไหนตอกกลับมาหรอกว่า?”โอ๊ย ภาษาไม่ดี ไปเรียนนอกไม่ได้หรอกค่าาาา” เพราะเท่ากับว่าเอเจนซี่นั้นจะเสียลูกค้าไปแน่ๆ แต่เอเจนซี่จะช่วยหาโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มีเงื่อนไขสูงมากนัก?ที่พอจะรับคนที่ไม่เก่งภาษามากเข้าไปเรียนได้ เพราะยังไงเอเจนซี่ก็ต้องรักษาฐานลูกค้าไว้ก่อนค่ะ
- ถ้าน้องจะสมัครทุนหรือสอบชิงทุน ขอตอบเลยว่า “ไม่น่ารอดค่ะ” ทุนมีให้สำหรับคนที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งคำว่า “เหมาะสมที่สุด” นั้น ก็รวมไปถึงความเก่งทางวิชาการและรวมถึงภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งจะสะท้อนผ่านคะแนน TOEFL หรือ IELTS ที่เราต้องใช้ยื่นเพื่อสมัครทุน บอกเลยว่า TOEFL หรือ IELTS นี่ไม่ง่ายค่ะ บางคนต้องติวเป็นปีก่อนไปสอบเลยนะ ดังนั้นใครไม่เก่งภาษาอังกฤษ พี่ว่าจะไปสมัครทุนหรือสอบชิงทุนนี่โอกาสได้น้อยมากๆ
ดังนั้นหากน้องมีโอกาสได้ไปเจอเพื่อนที่ได้ทุน และเพื่อนบอกกับน้องว่า “เราเองก็ไม่เก่งหรอกนะ” ให้เชื่อเถอะว่า เขาถ่อมตัวค่ะ = =”
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ?2 ต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ
คะแนนที่ว่านั้นก็คือ TOEFL หรือ IELTS ที่เขียนไว้แล้วในข้อแรกนั่นเอง หลายๆ คนอาจจะยังงงๆ ว่าคืออะไร?
- TOEFL(อ่านว่า โทเฟิล) และ IELTS (อ่านว่า ไอเอลท์) เป็นผลทดสอบ?ภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก มหาวิทยาลัยที่ไหนๆ ในโลกก็ยอมรับคะแนนพวกนี้ ดังนั้นน้องๆ ที่คิดจะโกอินเตอร์แน่นอน “ต้องสอบเก็บไว้”
- TOEFL มีการสอบหลายแบบ เช่น สอบด้วยคอมพิวเตอร์ สอบด้วยกระดาษ แต่วิธีที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือสอบด้วยอินเตอร์เน็ต เราเรียกว่า TOEFL iBT โดยมีคะแนนเต็มที่ 120 คะแนน มหาวิทยาลัยส่วนมากมักกำหนดที่ 70 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยดังระดับโลก จะเรียกที่ 100 คะแนนขึ้นไปค่ะ สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่างๆ พี่ว่าควรได้อย่างต่ำที่ 80 ขึ้นไปนะ
สามารถสมัครสอบได้ที่ www.toefl.org หรือ?ผ่านเอเจนซี่ต่างๆ ที่เป็นตัวแทนรับสมัคร ค่าสอบอยู่ที่ 160 USD (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5 พันบาทค่ะ
- ส่วน IELTS มีคะแนนเต็มที่ 9.0 มหาวิทยาลัยทั่วไปจะเรียกที่ 5.5 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้ามหาวิทยาลัยดังๆ ก็จะกำหนดไว้ที่ 7.0 ค่ะ สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่างๆ ควรได้ 6.0 ขึ้นไป สามารถสมัครสอบได้ที่ British Council ค่าสอบอยู่ที่ประมาณ 6 พันกว่าบาทค่ะ
- ทั้ง TOEFL และ IELTS ข้อสอบจะมี 4 พาร์ทคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดย?น้องต้องปึ๊กทั้ง 4 พาร์ท จะเก่งพูดแต่ไม่เก่งอ่านก็ไม่ได้ เพราะบางมหาวิทยาลัยก็จะมีเงื่อนไขคะแนนด้วย เช่น คะแนนสอบ IELTS แต่ละส่วนจะมีคะแนนเต็มที่ 9.0 จากนั้นจะนำมาหาร 4 เพื่อสรุปเป็นคะแนนตัวจริง
แต่บางมหาวิทยาลัยก็จะกำหนดว่า คะแนน IELTS ต้องได้ 6.5 ขึ้นไป โดยไม่มีพาร์ทไหนได้ต่ำกว่า 6.0 ดังนั้นต่อให้บางคนได้่พาร์ทการพูด การเขียน การฟังเต็ม 9.0 แต่ได้พาร์ทอ่านแค่ 5.0 แบบนี้ก็ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์มหาวิทยาลัยนั้นค่ะ (โหดมั้ยล่ะนั่น)
- คะแนนจะเก็บไว้ใช้ได้ 2 ปี ส่วนมากจัดสอบเดือนละ 2-4 ครั้ง ผลสอบจะออกหลังสอบประมาณ 2 สัปดาห์
- คนส่วนมากนิยมไปสมัครคอร์สติว TOEFL หรือ IELTS ก่อนสอบ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าค่อนข้างยาก ค่าสอบก็แพง ดังนั้นบางคนจึงยอมจ่ายแพงเสียเงินไปติวเพื่อความชัวร์ สอบทีเดียวจะได้ผ่านเลย
- แล้วจะเลือกสอบอะไรดี? ถ้าน้องคิดจะไปเรียนที่อเมริกา ควรสอบ TOEFL ค่ะ แต่หากจะไปแถบยุโรปหรือออสเตรเลีย ควรสอบ IELTS เพราะจะเป็นที่นิยมมากกว่า (แต่จริงๆ มันพอแทนกันได้ค่ะ)
***คำแนะนำจากพี่คือ ใครคิดจะสมัครทุนจริงๆ น้องควรต้องไปสอบเก็บไว้จริงๆ นะ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆๆ เพราะบางทุนให้ระยะเวลาในการสมัครเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น!! ซึ่งพอถึงเวลานั้น น้องอยากได้ทุนนี้มาก แต่น้องก็ต้องชวดแน่นอน เพราะถึงน้องไปสมัครสอบ TOEFL หรือ IELTS แต่กว่าผลจะออกก็ 2 สัปดาห์แล้ว ดังนั้นไปสอบเก็บไว้ล่วงหน้าเถอะ?พี่ขอร้อง***
สอบ TOEIC แทนได้มั้ย?? TOEIC
เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่มักใช้วัดความสามารถก่อนเข้าทำงาน ดังนั้นนิสิตนักศึกษาจะนิยมสอบกันค่อนข้างเยอะค่ะ มีคะแนนเต็มที่ 990 คะแนนค่ะ ข้อสอบไม่ยากมาก แถมค่าสอบก็ไม่แพง แค่พันกว่าบาทเท่านั้น
แต่!! จุดประสงค์ของข้อสอบ TOEIC จะต่างจาก TOEFL/IELTS เพราะ?TOEIC จะเน้นเพื่อเข้าทำงานซะมากกว่า ดังนั้นมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรป?จึงไม่พิจารณาคะแนน TOEIC ค่ะ แต่พี่เองก็เคยเห็นพวกทุนการศึกษาบางทุนในแถบเอเชีย อนุโลม ให้ใช้ TOEIC ในการยื่นสมัครด้วย เพราะฉะนั้นน้องๆ ก็ควรไปสอบตัวนี้เก็บไว้ด้วยนะ
นอกจากนี้ยังมี SAT เป็นผลสอบอีกตัวหนึ่งที่ “น้องๆ ที่อยากไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา” ควรมีไว้ค่ะ ดังนั้นพวกทุนต่างๆ ที่จะให้ไปเรียนอเมริกามักกำหนดว่าต้องมีผลสอบ SAT ด้วย และยังมีหลักสูตรอินเตอร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงที่ไทยก็กำหนดด้วยว่า?ให้ใช้ผลสอบ SAT ในการยื่นสมัคร หรือแม้แต่บางมหาวิทยาลัยในบางประเทศ เช่น?สิงคโปร์ ก็กำหนดให้ใช้ SAT ในการสมัครเข้าเรียนเหมือนกันค่ะ ดังนั้นใครคิดว่าพอไหวก็ลองไปสอบนะ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ 3?สอบวัดระดับภาษาอื่นๆที่จำเป็น
น้องๆ ที่คิดจะไปเรียนต่อในประเทศที่ใช้ภาษาที่ 3 ต้องอ่านไว้ค่ะ โดยเฉพาะเกาหลี จีน ญี่ปุ่น น้องๆ ควรไปสอบวัดระดับภาษาเกาหลีนั้นๆ เก็บไว้ เพราะบางทุนกำหนดว่า “ต้องมีคะแนนวัดระดับของภาษานั้นๆ” ประกอบในการยื่นสมัครด้วย หรือบางทุนไม่ได้บังคับว่าต้องมี แต่ทุนนั้นๆ มักจะลงท้ายว่า ” ผู้ที่มีผลคะแนนวัดระดับของภาษานั้นๆจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ” แล้วแบบนี้จะไม่ไปสอบเก็บไว้ได้ยังไงล่ะ??
ตัวอย่าง ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ( ปริญญาตรี ) กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครไว้ว่าต้องเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.80 ขึ้นไป
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.30 ขึ้นไปและมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 1 หรือ 2
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.50 ขึ้นไปและมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 3 หรือ 4
น้องๆ หลายคนที่เกรดไม่ถึง 3.80 ก็ต้องชวดทุนนี้ไปอย่างน่าเสียดายมากกกก แหม?ถ้ามีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นไปยื่นด้วยก็สบายเลย น่าเสียดายมากค่ะ นี่คือตัวอย่างว่าทำไมเราถึงควรไปสอบวัดระดับภาษานั้นๆ เก็บเอาไว้
- การสอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กลางปีและปลายปี สมัครได้ที่ มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง สำนักงานกรุงเทพ
- การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กรกฎาคมและธันวาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น
- การสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) จัดสอบปีละครั้ง ตุลาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนนานาชาติเกาหลี
นั่นก็คือกำหนดการการสอบคร่าวๆ นะคะ ขอย้ำเลยว่าควรต้องสอบเก็บไว้และติดตามข่าวให้ดีว่าเขาจะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่ อย่างก่อนหน้านี้มีน้องๆ มาถามพี่บ่อยมากว่า สอบวัดระดับเกาหลีเมื่อไหร่? ทั้งๆ ที่มันเพิ่งจะสอบเสร็จไปไม่นานนี้เอง T^T ดังนั้นต้องติดตามให้ดีๆ ค่ะ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ 4?เตรียมเอกสารให้พร้อม
มาถึงหมวดเอกสารบ้าง เอกสารที่ใช้ในการสมัครทุนต่างๆ นั้นมีเยอะทีเดียวค่ะ ?เอกสารที่ต้องขอจากโรงเรียน
- ใบแสดงผลการศึกษา หรือเรียกง่ายๆ ว่าทรานสคริปต์ คือใบที่จะบอกว่าเกรดแต่ละวิชาในแต่ละระดับชั้นที่ผ่านมา เราได้เท่าไหร่บ้าง หรือใบปพ.1 นั่นเองค่ะ
- ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียนหรือใบรับรองการจบการศึกษา คือใบที่ทางโรงเรียนจะรับรองว่า เรานี่แหละมีสภาพเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้จริงๆ หรือหากน้องเพิ่งเรียนจบมา มันก็จะกลายเป็นใบที่รับรองว่าเราจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้จริงๆ นะ
เอกสารทั้ง 2 ใบนี้สำคัญมากกกกค่ะ น้องสามารถขอได้จากฝ่ายทะเบียนของโรงเรียน และควรขอเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ(ถ้าโรงเรียนสามารถทำให้ได้)
คำแนะนำคือ ให้น้องขอไว้ทีเดียวอย่างละ 5-6 ใบเลยค่ะ เพราะบางทีเกิดอาการหลายใจ ทุนนั้นก็น่าสมัคร ทุนนี้ก็น่าสนใจ เราจะได้ไม่ต้องกลับไปขอใหม่บ่อยๆ เสียเวลาเปล่าๆ ให้ขอมาทีเดียวเยอะๆๆ เลยค่ะ ขอเป็นสิบใบเลยก็ได้ นอกจากนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าบางทุนเปิดให้สมัครแค่ 2 สัปดาห์ แล้วดันตรงกับช่วงปิดเทอมพอดี แย่เลย เพราะบางโรงเรียนก็ดำเนินการช้ามาก ใช้เวลาทีเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จ ดังนั้นน้องควรไปขอมาตุนไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ
เอกสารที่เป็นของเราเอง
- สูติบัตร หรือใบรับรองการเกิด หลายคนคงสงสัยว่าทำไมพวกทุนการศึกษาถึงต้องขอใบนี้ด้วย?? คำตอบก็คือ เขาขอเพื่อไปดู “ความสัมพันธ์ระหว่างเราและบิดามารดา” ว่าพ่อแม่เราชื่อนี้จริงๆ มั้ย พ่อแม่เราสัญชาติไทยจริงๆ หรือเปล่า ดังนั้นสูติบัตรเป็นอีกใบที่ต้องใช้ค่ะ หากของใครอยู่ในสภาพที่เน่ามาก น้องๆ สามารถไปขอคัดสำเนาสูติบัตรได้ที่สำนักงานเขตค่ะ
- ทะเบียนบ้าน ส่วนมากจะใช้หน้าที่มีชื่อเรานั่นเอง
- หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต บางทุนกำหนดว่าผู้สมัครต้องส่งสำเนาพาสปอร์ตไป
ให้ดูด้วย เพื่อดูว่าเรามีสัญชาติไทยจริงๆ มั้ย แต่หากใครไม่มีพาสปอร์ตจริงๆ อาจจะใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแทนได้ค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ก็เป็นภาษาอังกฤษกันหมดแล้วเนาะ
เอกสารที่ต้องนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ
เอาล่ะ เตรียมเอกสารสำคัญกันในมือครบแล้ว เอ๊ะ เอกสารที่เรามีมันเป็นภาษาไทยหมดเลย ทำไงดี?? แน่นอนค่ะว่า ทางทุนเค้าอ่านไม่ออกแน่ๆ ดังนั้นเราจึงต้องนำเอกสารทั้งหมดไปแปลเป็นภาษาอังกฤษค่ะ
- น้องๆ ควรนำไปแปลตามร้านรับแปลเอกสารต่างๆ หาได้ทั่วไปตามริมถนน ใช้เวลา 1-2 วันเท่านั้น เอกสารที่ควรนำไปแปลคือ เอกสารที่ต้องเน้นความแม่นยำและถูกต้อง แบบว่า?แปลผิดไม่ได้เด็ดขาด นั่นก็คือเอกสารราชการค่ะ เช่น ใบสูติบัตร ใบทะเบียนบ้าน (ไม่แนะนำให้แปลเองนะคะ เพราะแปลผิดขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง) ใช้เวลาแปล 2-3 วัน ค่าแปลหน้าละประมาณ 300 บาท
- เมื่อแปลเสร็จเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาแล้ว ต้องมีการรับรองว่าเอกสารที่แปลนั้นถูกต้อง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมการกงสุล น้องๆ สามารถอ่านวิธีการยื่นคำร้องรับรองเอกสารได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย ซึ่งหากน้องเกิดแปลเองและแปลผิด ทางกรมการกงสุลจะติดต่อกลับมาว่าแปลผิดนะ ใช้ไม่ได้ ซึ่งก็จะยิ่งเสียเวลามากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงควรให้ร้านรับแปลเอกสารแปลให้แต่แรกน่าจะดีกว่าค่ะ
- ส่วนเอกสารอื่นๆ เช่น ใบแสดงผลการศึกษา ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียน หากโรงเรียนไม่สามารถออกเป็นภาษาอังกฤษได้จริงๆ (แย่จัง) น้องก็ควรนำไปให้ร้านรับแปลเอกสารแปลเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ต้องนำไปรับรองที่กรมการกงสุลนะคะ (แต่พี่ก็เห็นมีน้องๆ บางคนลองแปลเองเหมือนกันนะ)
- พอร์ตฟอลิโอ หรือ ใบประกาศนียบัตร ที่เคยได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ซีเรียสค่ะ แปลเองได้โลด ไม่ต้องไปจ้างร้านรับแปลเอกสารก็ได้ค่ะ
***ทั้งหมดนี้สำคัญมากนะคะ อยากให้น้องๆ เตรียมเอกสารในมือให้พร้อมไว้?ล่วงหน้าเลย หลายคนสมัครทุนไม่ทันก็เพราะติดปัญหาเรื่องเอกสารนี่แหละค่ะ***
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ 5 คิดดีๆอยากเรียนที่ไหน ?
หากเป็นทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย เราคงไม่ต้องคิดมาก เพราะหากได้ทุนมา ก็ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้นอยู่แล้ว แต่สำหรับทุนรัฐบาลของประเทศต่างๆ เช่น ทุนรัฐบาลเกาหลี ทุนรัฐบาลจีน ทุน 1 อำเภอ 1 ทุน เราสามารถเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเรียนเองได้ค่ะ ซึ่งก็จะมีคำถามตามมา “พี่คะ หนูอยากเรียนด้านการเงินที่จีน มหาวิทยาลัยไหนดีและดังบ้าง?”
สิ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ตัวนี้ให้เราได้ก็คือ RANKING หรือการจัดอันดับค่ะ น้องๆ สามารถค้นหาจากกูเกิ้ลได้ไม่ยาก เช่น “TOP FINANCE PROGRAM IN CHINA” เพียงเท่านี้ กูเกิ้ลก็จะช่วยหาคำตอบให้เราได้แล้วค่ะ ดังนั้นน้องๆ ควรศึกษาล่วงหน้าไว้บ้างว่า สาขาที่เราอยากเรียนนั้นมีที่ใดดังบ้าง จะได้มีเป้าหมายมากขึ้นว่าเราอยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไหน
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
ตอนนี้ทุนเรียนต่อนอกก็มีเยอะแยะมากมาย บางทุนเราอาจจะไม่รู้จัก น้องๆก็ต้องคอยติดตามข่าวสาร เรียนต่อนอก ให้ดีๆนะคะ เช่น?โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอกสามารถค้นหาได้แล้วว่ามีทุนให้เรียนในสาขาหรือประเทศที่เราต้องการหรือเปล่า
และนี้ก็คือ 6?วิธีเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ?ขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนสมัครขอทุน ลองนำไปใช้กันจะได้ไปเรียนต่างประเทศได้อย่างสบายๆ ^^

10 อันดับ ละครบรอดเวย์ยอดนิยม ปี 2012

10 อันดับ ละครบรอดเวย์ยอดนิยม ปี 2012


บรอดเวย์...ถนนสายละครเวทีในตำนานที่รวมสุดยอดละครเวทีมากกว่า 100 เรื่องเคยเปิดการแสดงที่นั่น ถ้าไม่นับรวม The Phantom of the opera และ Les Miserables สุดยอดละครเวทีตลอดการยาวนานมากกว่า 2 ทศวรรษการันตีจากการแสดงมากกว่า 10,000 รอบบนบรอดเวย์และคณะทัวร์ทุกมุมโลก นอกจาก 2 ละครเวทีเรื่องนี้แล้ว บรอดเวย์ยังมีละครเวทียอดนิยมอีกหลายเรื่องที่การันตีจากคนดู

โดยเว็บไซต์ http://www.broadway.com ได้จัด 10 อันดับ Most Popular ละครบรอดเวย์ประจำปีนี้

อันดับ 10  Sis
ter Act สร้างจากภาพยนตร์ชื่อดังเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรื่องเกี่ยวกับ ซุปเปอร์ดีว่าของวงการดิสโก้ต้องมาอยู่ในคอนแวนต์คริสต์อันเข้มงวดในรูปแบบ แม่ชีจำเป็น 


อันดับ 9 Chicago Musical
 อเมริกันมิวสิคัลแท้ๆเรื่องแรก (มิวสิคัลบอร์ดเวย์ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากอังกฤษ)ที่ เล่นติดต่อยาวนานมากที่สุดของบอร์ดเวย์ เรื่องราวของนักโทษสาวร๊อกซี่ฮาร์ดกับการพยายามต่อสู้คดีแสนสนุกเชิงเสียดสี สังคมอเมริกัน เพลงแจ๊สสุดเร่าร้อนจนชิคาโก้ถูกไปสร้างเป็นหนังรางวัลออสการ์ในที่สุด


 

 

อันดับ 8 Mary Poppins แมรี่ป๊อปปินส์ เดอะมิวสิคัล สร้างจากวรรณกรรมสำหรับเด็กชื่อเดียวกัน ก่อนที่ดิสนีย์จะทำไปสร้างเป็นหนังเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนนี้โลดแล่นอยู่บนโรงละคร เรื่องราวของแมรี่ป๊อปปินส์ พี่เลี้ยงเด็กผู้มีพลังวิเศษที่ทุกคนจะต้องตกตะลึงไปกับการเหาะเหินเดินอากาศ เวทมนต์สุดล้ำและสุดยอดของเทคนิคดิสนีย์บอร์ดเวย์




อันดับ 7   Spider-Man Turn Off the Dark จากแรงบันดาลใจในหนังสือการ์ตูนของมาร์เวลส์ ทำให้สไปเดอแมนมาโลดโผนโจนทะยานบนโรงละครเวที  เรื่องราวเริ่มต้นของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ กับ ชีวิตของมนุุษย์แมงมุมที่สร้างความประทับใจคนดูทั่วจากเวอร์ชั่นโลกภาพยนตร์


อันดับ 6 The Book of Mormon เจ้าของ9 รางวัลโทนี่อวอร์ด ปี 2011 และละครเวทีปรัชญาสุดลึกล้ำ เรื่องราวของ2วัยรุ่นมิชชานารีนิกายมอร์มอนที่ถูกส่งตัวไปให้ช่วยเหลือชาวยูกันดา ทั้งสองพยายามเผยแพร่มอร์มอนแต่ต้องพบว่าที่นั่นมีแต่การคุกคามทั้งภัยสังคม โรคร้าย อาหาร และความขัดแย้งทางศาสนา 




อันดับ 5 Evita ติดอันดับละครเวทีตลอดกาลของบอร์ดเวย์ไปแล้ว จากบทละครเพลงสุดยอดของพ่อมดแห่งวงการ แอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ Evitar ที่มีเพลงนำละครที่โด่งดัง Don't Cry For Me Argentina.  เรื่องราวของ Eva Peron ภรรยาคนที่สองของ Juan Perón ประธานาธิบดีอาร์เจนติน่า ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ของสตรีอันดับหนึ่งแห่งอาร์เจนติน่า สร้างเป็นภาพยนตร์นำแสดงโดยมาดอนน่า ในปี 1996


อันดับที่ 4 Wicked  ละครเพลงที่มีเพลงเพราะและเทคนิคแสงสีเสียงดีที่สุด เปิดแสดงทั่วทุกมุมโลกเรื่องราวก่อนเริ่มต้นThe Wizard of Oz’s เอ่ยถึงจุดกำเนิดของแอลฟี่แม่มดตัวเขียวและพลังวิเศษ เพลงเอก Defying Gravity และ For Good

อันดับที่ 3  Once Musical สร้างจากภาพยนตร์ดังปี2007 เป็นม้ามืดของมิวสิคัลบอร์ดเวย์เพราะเล่าเรื่องโดยไม่เน้นเทคนิคตระการตราแต่ใช้บทเพลงที่ไพเราะทันสมัย เรื่องราวของมิตรภาพระหว่างวัยรุ่น ความรัก และดนตรี

อันดับที่ 2   Jersey Boys เจ้าของรางวัลโทนี่อวอร์ดปี 2006  เรื่องราวของการเดินทางจากเด็กน้อยไปสู่ซุปเปอร์สตาร์ร้อยเรียงผ่าน 30 บทเพลงป๊อปชื่อดังอย่าง “Sherry,” “Big Girls Don’t Cry”  “Can’t Take My Eyes Off You.”



อันดับที่ 1 The Lion King ​Musical สุดยอดละครเวทีโปรดักชั่นจากดิสนีย์ สร้างจากการ์ตูนที่ประทับใจคนดูทั่วโลก เล่าเรื่องบนเวทีได้อย่างไม่ผิดเพี้ยง เรื่องราวของผาทรนงและเจ้าป่าน้อยซิมบ้า ทำให้ไลออนคิงส์ประสบความสำเร็จด้วยการไปทัวร์ทุกมุมโลก