วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

นักบุญประจำเดือน วันอาทิตย์ระหว่างวันที่ 2-8 มกราคม


สมโภชพระคริสตเจ้าสำแดงองค์
EPIPHANY OF THE LORD
ความปรารถนาอันแรงกล้าของพระเยซูเจ้าผู้สถาปนาพระศาสนจักร  และของพระศาสนจักรเองในทุกยุคทุกสมัย ก็คือความต้องการให้มนุษยชาติมีเอกภาพที่แท้จริง ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน

หนทางที่มุ่งไปสู่สากลภาพ

มนุษยชาติกำลังมุ่งไปสู่สากลภาพซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยได้บรรลุถึงเลย และถ้าหากจะสามารถบรรลุถึงจุดหมายนี้แล้ว รูปโฉมของมนุษย์ก็คงจะต้องเปลี่ยนไป วัฒนธรรมอันดีงามต่างๆ ก็คงจะไม่จำกัดอยู่กับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ   และความเจริญทางเทคโนโลยีก็คงจะเป็นของทุกชาติทุกภาษาโดยเท่า เทียมกัน และนี่แหละที่จะเป็นความหวังอันน่าชื่นชมยินดีสำหรับมนุษย์เราในสมัยนี้

แต่ว่ามนุษย์มีวิธีการอะไรที่จะทำให้ความใฝ่ฝันนี้ได้สำเร็จไป?

ที่จริงมนุษย์ได้เคยทดลองใช้วิธีการมากมายหลายสิบชนิดแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้พบกับความสำเร็จ ตรงข้ามหลายๆครั้ง กลับก่อให้เกิดปัญหาด้วยซ้ำไป

ต้องใช้กำลังหรือ?


เรื่องนี้อดีตได้สอนเอาไว้อย่างดีแล้วว่า การใช้กำลังมีแต่จะนำความพินาศมาสู่มวลมนุษย์

หรือว่าให้เรามอบความหวังกับเทคโนโลยีสมัยใหม่?

แต่ว่าบ่อยๆ เทคโนโลยีเหล่านี้มักจะไม่สนใจเรื่องความเป็นบุคคลของเรามนุษย์ มิใช่หรือ?

และที่สุด เราที่เป็นคริสตชนมีอะไรจะเสนอแนะในเรื่องนี้?

ตามพระคัมภีร์มนุษย์คนแรกที่ได้เชื่อในสากลภาพคือ อับราฮัม บิดาแห่งชนชาติ

พระเจ้าได้ทรงสัญญากับท่านไว้ว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าบรรดาประชาชาติต่างๆจะมาร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพงศ์พันธุ์ของท่าน และท่านก็ได้เชื่อ  เป็นพฤติกรรมอันแรกของความเชื่อที่มนุษย์ได้แสดงออก

ประชาชาติจะเดินไปสู่แสงสว่างของพระเจ้า

 ประชาชาติอิสราแอลได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รวบรวมประชากรทั้งหลาย  ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม และดังนี้พระสัญญาแห่งสากลภาพก็จะบรรลุถึงความสำเร็จ

ชาวอิสราแอลได้เชื่ออย่างผิดๆว่าพวกเขาสามารถสร้างเอกภาพดังกล่าวขึ้นมาได้ด้วยการปฏิบัติตามกฎระเบียบอะไรบางอย่าง เช่น การถือธรรมบัญญัติ การถือวันสับบาโต  การเข้าสุหนัต ฯลฯ

แต่ว่าจะเป็นความเชื่อของอับราฮัมที่จะสามารถรวบรวมชนชาติทุกภาษาให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้

การประกาศว่าจะต้องมีประชากรใหม่ของพระเจ้าที่ไม่จำกัดเชื้อชาตินั้น  ได้รับการตระเตรียมล่วงหน้าในประชากรเลือกสรรและได้สำเร็จเป็นไปในองค์พระคริสตเจ้า  เพราะในแผนการณ์ของพระบิดาเจ้า เป็นพระองค์เองที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า (อฟ. 1: 9 - 10 ) และทุกสิ่งที่ แตกแยกกันออกไปก็จะพบเอกภาพในพระองค์    ( อฟ. 3:6 )

โดยการเรียกปราชญ์จากแดนตะวันออก พระเยซูเจ้าได้เริ่มรวบรวมประชากรเพื่อที่จะสรรสร้างให้ เป็นครอบครัวใหญ่ของมนุษยชาต
สมโภชพระคริสตเจ้าสำแดงองค์ 
........................................................

EPIPHANY OF THE LORD
วันอาทิตย์ระหว่างวันที่ 2-8 มกราคม
โดยการดังกล่าวจะสำเร็จลงอย่างบริบูรณ์ก็ต่อเมื่อความเชื่อใน พระเยซูคริสต์จะทำให้กำแพงที่กั้นมนุษย์มิให้รวมกันจะได้พังพินาศไป และเมื่อนั้นแหละที่มนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกว่าพวกเขาคือบุตรพระ เจ้า ได้รับการไถ่จากพระคริสต์อย่างเท่าเทียมกันและเป็นพี่น้องกัน

ประชากรใหม่ที่ว่านี้คือพระศาสนจักรซึ่งเป็นสังคมของผู้มีศรัทธา

ตลอดกระแสศตวรรษพระศาสนจักรได้ตระหนักและได้เป็นองค์พยานสำหรับการเรียกอันมีลักษณะสากลนี้    คือการเรียกมนุษย์ทุกคนให้ไปสู่การช่วยให้รอดโดยอาศัยผลงานแห่งการสร้างเอกภาพของพระคริสตเจ้า

ดังนั้น    ภาพนิมิตสุดท้ายของพระธรรมใหม่ในหนังสือวิวรณ์จึงมีความหมายมาก ( วว. 7: 4-12; 15: 3-4; 21: 24-26 ) คือ ชนทุกชาติทุกภาษาจะมากราบไหว้นมัสการพระเจ้า ผู้เป็นกษัตริย์แห่งชนชาติทั้งหลาย พวกเขาจะพักอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเลมใหม่ และในกรุงเยรูซาเลมใหม่นี้ครอบครัวของมนุษยชาติจะพบกับเอกภาพที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

มีดาวดวงหนึ่งปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้าเสมอ

เวลาที่เราพูดถึงเรื่อง “เอกภาพ” ก็เสี่ยงที่จะทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆ เพราะบ่อยๆ เรามักจะเข้าใจว่า “เอกภาพ” คือเอกรูปที่ต้องมีอะไรเหมือนๆ กันหมด นั่นก็คือต้องขจัดความแตกต่างใน แต่ละคนให้หมดสิ้นไปโดยให้แต่ละคนเท่าเสมอกันหมด   ความคิดดังกล่าวนี้มิใช่เป็นความคิดที่ถูกต้องเลย เพราะว่าความแตกต่างกัน  และความหมายหลายหลากของอุปนิสัยของแต่ละชาติคือความมั่งคั่งของมนุษยชาติ เช่นเดียวกันสำหรับข้อเท็จจริง ที่ว่าพระศาสนจักรต้องเป็นหนึ่งเดียวและสากลนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไม่มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไปสำหรับจะเจริญชีวิตด้วยความเชื่ออย่างเดียวกัน

เป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานเกินไปที่พระศาสนจักรได้ไปผูกพันตัวเองกับวัฒนธรรมของโลกตะวันตก และกับคนขาวเพื่อที่จะพิมพ์คริสตศาสนาให้ออกมาในรูปแบบของชนชาวยุโรป  แต่ว่าพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้าจะต้องไม่เป็นพระศาสนจักรของชนชั้นกรรมกร หรือของชนชั้นผู้ดี หรือของชนชั้น   นายทุน เพราะประตูของพระศาสนจักรเปิดกว้างสำหรับทุกคน

คริสตชนที่แท้จริงจะต้อง ไม่ปฏิเสธความแปลกใหม่ แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องทำการพิสูนจ์ว่าสิ่งแปลก ใหม่เหล่านั้นจะต้องไม่ใช่มิติใหม่ของความเชื่อในพระองค์พระคริสตเจ้าเท่านั้น ประสบการณ์ต่างๆมากมาย ในปัจจุบันนี้ซึ่งหลายๆ ครั้งอาจจะเป็นที่สะดุดสำหรับคนบางประเภท แต่ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นยาชุบชูกำลัง ให้กับชีวิตของพระศาสนจักร พระคริสตเจ้าให้บทเรียนแต่เพียงบทเดียวแก่เราว่า “จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดดวงใจและจงรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง”(เทียบ มก 1:2 30;  ยน 13:34) ในบทเรียนบทนี้ที่เราจะพบความหมาย และทิศทางนี่แหละที่เป็นดาวดวงนั้น ที่เราจะต้องเฝ้าติดตามสำหรับจะบรรลุถึงเป้าหมายและเอกภาพที่แท้จริง

นักบุญประจำเดือน มกราคม วันที่ 1


สมโภชพระนางมารีย์พระชนนีพระเป็นเจ้าMARY,MOTHER OF GOD NEW YEARS DAY
วันที่ 8 หลังจากการฉลองพระคริสตสมภพ ( 25 ธันวาคม ) เราคริสตชนทำการฉลอง“พระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า” แต่ว่า วจนพิธีกรรมในวันฉลองวันนี้แทนที่จะเน้นที่“พระนางมารีอา” กลับไปเน้นที่ “พระบุตรของพระนางและพระนามของพระบุตร”

นักบุญเปาโลได้ย้ำถึงผลงานของการช่วยให้รอดที่ได้สำเร็จลงในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งพระนางมารีอาเองก็ได้มีส่วนอยู่ด้วย เพราะว่าเป็นพระนางเองที่พระบุตรพระเป็นเจ้าสามารถเสด็จลงมาในโลกนี้ในฐานที่ทรงเป็นมนุษย์จริง ๆ คนหนึ่ง ส่วนพระวรสารของวันนี้ได้จบลงด้วยการตั้งพระนาม “เยซู” ให้กับพระผู้เพิ่งได้บังเกิดมา  ในขณะที่พระนางมารีย์ทรงมีส่วนร่วมในรหัสธรรมของพระบุตรพระเป็นเจ้าองค์นี่อย่างเงียบๆ

แม้ว่าวจนพิธีกรรมในการฉลองในวันนี้จะมุ่งความสนใจไปหา “องค์พระบุตร” แต่ก็มิได้ทำ ให้บทบาทของผู้ที่เป็น “พระชนนีพระเจ้า” ด้อยลงไปแต่อย่างใด การที่พระนางมารีย์เป็นพระชนนีพระเจ้าจริง ๆ ก็เพราะความสัมพันธ์ที่พระนางมีต่อพระบุตรอย่างแนบแน่นนั่นเอง ดังนั้น ยิ่งเราคริสตชนจะให้ความคารวะต่อพระนางเพียงใด พระบุตรก็ยิ่งจะได้รับการถวายพระเกียรติมากขึ้นเท่านั้น

การที่เราเรียกพระนางมารีย์ว่าเป็นพระชนนีพระเจ้า เป็นการแสดงให้เห็นถึงภาระหน้าที่ที่พระนางมีในประวัติศาสตร์แห่งความรอด  และจากข้อเท็จจริงประการนี้แหละที่เป็นที่มาของความศรัทธาภักดีชนิดต่างๆ ที่บรรดาคริสตชนมีต่อพระนางมารีย์ เพราะว่าพระนางได้รับพระคุณมากมายจากพระเป็นเจ้ามิใช่สำหรับพระนางแต่เพียงผู้เดียว แต่ว่าเพื่อจะนำพระคุณ เหล่านั้นไปให้กับมวลมนุษย์อีกทอดหนึ่ง

พระชนนีพระเจ้าและพระมารดาของมนุษยชาติ
พระนาม “เยซู” อันมีความหมายว่า “พระเจ้าทรงช่วยให้รอด” ได้ช่วยนำเราให้เข้าสู่ธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม คือ จากการรับเอากายในครรภ์ของพระมารดา โดยเดชะพระจิต จนถึงการบังเกิด การเข้าพิธีสุหนัต และไปสิ้นสุดที่รหัสธรรมปาสกาคือที่การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพ พระเยซูเจ้าจึงเป็นพระพรที่ครบบริบูรณ์ของพระเจ้า  เป็นพระพรของการช่วยให้รอด และเป็นสันติภาพสำหรับมนุษย์ทุกคน

พวกเราได้รับการช่วยให้รอดในพระนามของพระองค์  (กจ. 2:21; รม.10:10,13) แต่ว่าการช่วย ให้รอดนี้ได้มาสู่มวลมนุษย์โดยผ่านทางพระนาง    มารีย์ และพระนางได้แบ่งปันพระคุณนี้ให้กับประชากรของพระเจ้า  ดังเช่นที่เมื่อครั้งหนึ่งพระนางได้ให้กับพวกคนเลี้ยงแกะ  พระนางมารีอาได้ให้ชีวิตมนุษย์แก่พระบุตรพระเจ้า และได้แบ่งปันชีวิตพระให้กับมนุษย์สืบมา ด้วยเหตุนี้ พระนางจึงได้รับการคารวะให้เป็นพระมารดาของมนุษย์ทุกคนซึ่งพระนางได้กำเนิดชีวิตพระให้

เช่นเดียวกับบรรดาคริสตศาสนิกชนทั้งหลาย พวกเราให้ความคารวะแด่พระนางมารีย์พรหมจารี ผู้ซึ่งพระสังคายนา ณ เมืองเอเฟซัส ได้ประกาศอย่างสง่าว่าพระนางทรงเป็นพระชนนีของพระเจ้าเพราะพระคริสตเจ้าได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นบุตรพระเจ้าและเป็นมนุษย์ด้วย(UR 15)

พระมารดาแห่งสันติภาพ
ในพระนามของพระนางมารีย์  พระชนนีพระเจ้าและมารดาของปวงมนุษย์ ที่ทั่วโลกทำการฉลอง “วันแห่งสันติภาพ”   ในวันนี้เป็นสันติภาพที่พระนางได้ค้นพบในความรักต่อองค์พระเจ้า เป็นสันติภาพที่พระเยซูเจ้าได้นำมาให้กับมนุษย์ทุกคนที่มีความเชื่อในพลังแห่งความรัก

สันติภาพในความหมายของพระคัมภีร์คือ พระคุณสุดวิเศษของพระแมสซียาห์ซึ่งหมายถึงการช่วย ให้รอดที่พระเยซูเจ้าได้นำมาให้ และการที่เราได้คืนดีและมีสันติกับพระเจ้า นอกนั้นสันติภาพยังเป็นค่านิยมสูงส่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องพยายามช่วยกันสร้างสรรขึ้นมาให้ได้เป็นต้นในระดับนานาชาติ
สมโภชพระนางมารีย์พระชนนีพระเป็นเจ้า
........................................................

( MARY,MOTHER OF GOD NEW YEARS DAY )
วันที่   1 มกราคม
ความเชื่อในพระคริสตเจ้า  สันติภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และสันติภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เป็นภาระหน้าที่ที่คริสตชนทั้งหลายจะต้องมีบทบาทอย่างเต็มที่เสียก่อน เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่จะก่อให้เกิดสันติภาพในโลกโดยทั่วๆ ไป สันติภาพของพระคริสตเจ้ามิได้แตกต่างอะไรไปจากสันติภาพที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาอยากได้ จึงควรที่เราทุกคนจะได้อุทิศชีวิตเพื่อจะได้มาซึ่งสันติภาพดังกล่าวนี้

พระศาสนจักรไม่เคยหยุดที่จะให้ความสนใจถึงความจำเป็น ที่เราทุกคนจะต้องมีส่วนช่วยกันสร้างสันติภาพที่แท้จริง สันติภาพที่แท้จริงนี้ต้องตั้งอยู่บนความจริง ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ ซึ่ง เปรียบเสมือนเสาหลัก 4 ต้นของบ้านแห่งสันติภาพที่เปิดกว้างต้อนรับทุกๆคน(พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23, 11-4-1963)

ต้องยุติสงครามและการสร้างอาวุธ 
พระสันตะปาปาปอล ที่ 6  ได้กล่าวไว้ในโอกาสเสด็จไปที่องค์การ   สหประชาชาติที่กรุงนิวยอร์ค ว่า “...จะต้องหยุดการต่อสู้หักล้างกันเสียที...พฤติกรรมเช่นนี้จะต้องไม่มีอีกต่อไป...  และด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวสหประชาชาติจึงได้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาสำหรับยุติสงครามและสร้างสันติภาพขึ้นแทน พวกเรายังคงจำคำพูดของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยอห์น เอฟ เคนาดี้ ได้  ที่กล่าวว่า “มนุษยชาติจะต้องยุติสงครามให้ได้ หรือจะให้สงครามยุติพวกเรา”  ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากมายสำหรับประกาศเป้าหมายอันสูงส่งของสถาบันแห่งนี้ (=สหประชาชาติ) ให้เราเพียงแต่คิดถึงหยาดเลือดของมนุษย์จำนวนนับล้านๆ และความทุกข์ทรมานอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่มักจะเงียบหายเข้าไปในกลีบเมฆ รวมทั้งซากปรักหักพังต่างๆ ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ได้พยายามที่จะช่วยสร้างสรรสันติภาพ และกำลังหาหนทางที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในอนาคตของโลกให้จงได้ คือ จงยุติสงครามเสียเถิด

“สันติภาพจะต้องคอยนำโชคชะตาของปวงชนและมนุษยชาติทั้งหมดถ้าพวกท่านต้องการเป็นพี่น้องกันก็จงปลดอาวุธเสีย เราไม่สามารถรักกันได้โดยที่ยังมีอาวุธร้ายอยู่ในมือ” (สุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ 4 ตุลาคม 1995)