วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันขึ้นปีใหม่

 เป็นเวลาที่ปฏิทินปีใหม่เริ่มต้นและการนับปีปฏิทินเพิ่มขึ้นหนึ่งปี วีนขึ้นปีใหม่ในปฏิทินเกรโกเรียนที่ใช้กันทั่วโลกปัจจุบัน ตรงกับวันที่ 1 มกราคม
วันปีใหม่มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนทุก 4 ปี
ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน
เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน
วันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกพอดี เรียกว่า วสันตวิษุวัต
แต่ในปี พ.ศ. 2125 วสันตวิษุวัติ กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรโกเรียน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

Merry Christmas 16 (end)

http://www.educatepark.com/english/christmas-story.php

เศรษฐกิจช่วงคริสต์มาส


 Christmas is typically the largest annual economic stimulus for many nations. Sales increase dramatically in almost all retail areas and shops introduce new products as people purchase gifts, decorations, and supplies.

In the U.S., the "Christmas shopping season" generally begins on Black Friday, the day after Thanksgiving, though many American stores begin selling Christmas items as early as October. In Canada, merchants begin advertising campaigns just before Halloween (October 31), and step up their marketing following Remembrance Day on November 11.

วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลที่สำคัญมากในการเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในทุก ๆ ปีของหลายประเทศ ยอดจำหน่ายสินค้าของร้านค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และร้านค้าเหล่านั้นก็จะออกสินค้าใหม่ ๆ มาในช่วงที่ผู้คนหาซื้อของขวัญ เครื่องประดับบ้านเรือนต่าง ๆ และอาหาร

ในอเมริกาจะจัด "เทศกาลซื้อของวันคริสต์มาส" ในวันแบล็คฟรายเดย์ (คือวันหลังจากวันขอบคุณพระเจ้า) อย่างไรก็ดี ร้านค้าส่วนใหญ่ในอเมริกาจะเริ่มขายของเกี่ยวกับวันคริสต์มาสตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ในแคนาดา เหล่าพ่อค้าจะเริ่มโฆษณาสินค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อนวันฮอลโลวีน (31 ตุลาคม) แล้วก็เริ่มทำการขายหลังจากวัน Remembrance Day ในวันที่ 11 พฤศจิกายน

Figures from the U.S. Census Bureau reveal that expenditure in department stores nationwide rose from $20.8 billion in November 2004 to $31.9 billion in December 2004, an increase of 54 percent. In other sectors, the pre-Christmas increase in spending was even greater, there being a November - December buying surge of 100 percent in bookstores and 170 percent in jewelry stores. In the same year employment in American retail stores rose from 1.6 million to 1.8 million in the two months leading up to Christmas. Industries completely dependent on Christmas include Christmas cards, of which 1.9 billion are sent in the United States each year, and live Christmas Trees, of which 20.8 million were cut in the USA in 2002.[98]

กองการสำมะโนครัว ประเทศอเมริกา เปิดเผยตัวเลขการใช้จ่ายเงินในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ มีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 20.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2004 เป็น 31.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน เพิ่มขึ้นถึง 54 เปอร์เซ็นต์

ส่วนร้านที่ขายสินค้าอื่น ๆ นั้น ก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส มีอัตราการซื้อสูงขึ้นมากกว่าปกติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงของเดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม ในร้านขายหนังสือ มีอัตราการซื้อเติบโตขึ้น 100 % ส่วนร้านเพชรพลอยนั้น มีอัตราการซื้อเติบโตขึ้น 170 % ในปีเดียวกันนี้ การจ้างงานของร้านขายปลีกได้เพิ่มขึ้นจาก 1.6 ล้าน เป็น 1.8 ล้าน ภายในระยะเวลา 2 เดือนก่อนถึงคริสต์มาส อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่การผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับเทศกาลนี้ ซึ่งรวมถึง การ์ดอวยพรวันคริสต์มาส ซึ่งจากตัวเลขประมาณการ การ์ดอวยพรวันคริสต์มาสถูกส่งให้กันในอเมริกาต่อปี มีจำนวนสูงถึง 1.9 พันล้านใบ และต้นสนที่นำมาใช้เป็นต้นคริสต์มาสถูกตัดในเทศกาลนี้สูงถึง 2.8 ล้านต้นในปี 2002

In most areas, Christmas Day is the least active day of the year for business and commerce; almost all retail, commercial and institutional businesses are closed, and almost all industries cease activity (more than any other day of the year). In England and Wales, the Christmas Day (Trading) Act 2004 prevents all large shops from trading on Christmas Day. Scotland is currently planning similar legislation. Film studios release many high-budget movies in the holiday season, including Christmas films, fantasy movies or high-tone dramas with high production values.

แต่ในหลายพื้นที่ วันคริสต์มาสก็เป็นช่วงที่เงียบเหงาที่สุดในรอบปีของธุรกิจการค้าประเภทอื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะปิดให้บริการในช่วงนี้กัน ซึ่งรวมถึงธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรมด้วย ในประเทศอังกฤษและเวลส์ มีกฎหมายการค้าปี 2004 ระบุไว้ว่า ห้ามห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เปิดทำการในวันคริสต์มาส ซึ่งประเทศสก็อตแลนด์ก็กำลังวางแผนที่จะออกกฎเกณฑ์คล้าย ๆ กันนี้ ส่วนทางด้านภาพยนต์ ก็จะมีการฉายภาพยนตร์ที่ใช้ต้นทุนในการสร้างสูงในช่วงวันหยุดของเทศกาล รวมถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับวันคริสต์มาส ภาพยนตร์แฟนตาซี หรือละครชีวิตที่ดีเยี่ยมโดยใช้ทีมงานคุณภาพในการผลิต

Merry Christmas 15

การโต้เถียงและการวิจารณ์


Throughout the holiday's history, Christmas has been the subject of both controversy
and criticism from a wide variety of different sources. The first documented Christmas controversy was Christian-led, and began during the English Interregnum, when England was ruled by a Puritan Parliament. Puritans (including those who fled to America) sought to remove the remaining pagan elements of Christmas. During this period, the English Parliament banned the celebration of Christmas entirely, considering it "a popish festival with no biblical justification", and a time of wasteful and immoral behavior.

 เกี่ยวกับประวัติของวันคริสต์มาสตั้งแต่ต้นจนจบนั้น มีการโต้เถียงและวิจารณ์กันในหลาย ๆ แง่มุมจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เอกสารอ้างอิงแรกที่โต้แย้งกันก็คือ “ศาสนาคริสต์เป็นผู้ริเริ่มเทศกาลนี้” ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศอังกฤษไร้ผู้ปกครองประเทศ และถูกออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ โดย สภาของพวกที่เคร่งศาสนา ซึ่งพวกนี้ (รวมถึงพวกเคร่งศาสนาที่หนีไปที่ประเทศอเมริกาด้วย) พยายามค้นหาช่องทางที่จะกำจัดพวกนอกรีตของเทศกาลคริสต์มาสที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ซึ่งในระหว่างนี้ สภาของอังกฤษได้ออกมาตรการห้ามงานเฉลิมฉลองทุกประเภทในเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งนับว่าเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และเป็นพฤติกรรมที่ผิดทำนองคลองธรรม ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นว่า งานเทศกาลของชาวโรมันคาทอริกนั้น ไม่มีการกล่าวอ้างถึงพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเลย

Controversy and criticism continues in the present-day, where some Christian and non-Christians have claimed that an affront to Christmas (dubbed a "war on Christmas" by some) is ongoing. Some of these critics claim that any specific mention of the term "Christmas" or its religious aspects was being increasingly censored, avoided, or discouraged by a number of advertisers, retailers, government (prominently schools), and other public and secular organizations into the 21st century.

การโต้เถียงและวิพากษ์วิจารณ์ยังคงดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งทั้งกลุ่มชาวคริสเตียนและกลุ่มที่ไม่ใช่ต่างก็สบประมาทกันและกันเกี่ยวกับเรื่องเทศกาลคริสต์มาสนี้เรื่อยมา (ซึ่งถูกตั้งชื่อเล่นให้ว่า “สงครามเทศกาลคริสต์มาส” โดยบางกลุ่มคน) ส่วนนักวิจารณ์บางคนก็แสดงทัศนะว่า ข้อมูลจำเพาะในการอ้างอิงถึงเทศกาลคริสต์มาส หรือเกี่ยวกับมุมมองทางด้านศาสนา มักจะถูกควบคุมเนื้อหามากกว่าปกติ หรือถูกทำให้ห่างจากความเป็นจริง หรือถูกกีดกันโดยกลุ่มคนที่ทำการโฆษณา ผู้ขายปลีก ส่วนราชการ (โรงเรียนที่มีชื่อเสียง) สื่อสาธารณะอื่น ๆ และองค์กรที่หวังประโยชน์จากงานเฉลิมฉลองในศตวรรษที่ 21 นี้

Merry Christmas 14

ซานตาครอสและผู้มอบของขวัญคนอื่น ๆ

 For many centuries Christmas has been a time for the giving and exchanging of gifts, especially between friends and family members. A number of Christian and legendary figures have been associated with both Christmas and the giving of gifts. Among these are Father Christmas, also known as Santa Claus, Saint Nicholas, Sinterklaas, the Christkind, Kris Kringle, Père Noël, Joulupukki, Babbo Natale, Weihnachtsmann, Saint Basil and Father Frost).

เป็นระยะเวลานานหลายศตวรรษแล้ว ที่เทศกาลคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาแห่งการมอบของขวัญให้กันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมอบของขวัญให้เพื่อน ๆ และสมาชิกในครอบครัว ซึ่งจำนวนของชาวคริสเตียนและบุคคลที่เป็นตำนานได้ถูกสมมติขึ้นมาให้สอดคล้องกับเทศกาลและการมอบของขวัญ ซึ่งรู้จักกันทั่ว ๆ ไป ในชื่อของ “บิดาแห่งคริสต์มาส” ซึ่งรู้จักกันในอีกหลาย ๆ ชื่อได้แก่ ซานตาครอส, เซนท์ นิโคลัส, ซินเทอคลาส, คริสต์ไคน, คริส คลิงเกิ้ล, เปเระ โนเอล, จุลลูปุ๊กกี้, บับโบ้ นาตาเล่, เวียน นาซแมน, เซนต์ บาซิล, บิดาแห่งความเยือกเย็น)
.. ซานตาครอส ผู้มอบของขวัญคนอื่นๆ ..

 เป็นระยะเวลานานหลายศตวรรษแล้ว ที่เทศกาลคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาแห่งการมอบของขวัญให้กันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมอบของขวัญให้เพื่อน ๆ และสมาชิกในครอบครัวซึ่งจำนวนของชาวคริสเตียนและบุคคลที่เป็นตำนานได้ถูกสมมติขึ้นมาให้สอดคล้องกับเทศกาลและการมอบของขวัญ ซึ่งรู้จักกันทั่ว ๆ ไป ในชื่อของ “บิดาแห่งคริสต์มาส”ซึ่งรู้จักกันในอีกหลาย ๆ ชื่อได้แก่ ซานตาครอส, เซนท์ นิโคลัส, ซินเทอคลาส, คริสต์ไคน, คริส คลิงเกิ้ล, เปเระ โนเอล, จุลลูปุ๊กกี้, บับโบ้ นาตาเล่, เวียน นาซแมน, เซนต์ บาซิล, บิดาแห่งความเยือกเย็น)

The most famous and pervasive of these figures in modern celebration worldwide is Santa Claus, a mythical gift bringer, dressed in red, whose origins have disputed sources. Santa Claus is a corruption of the Dutch Sinterklaas, which means simply Saint Nicholas. Nicholas was Bishop of Myra (in modern day Turkey) in the fourth century. Among other saintly attributes, he was noted for the care of Children, generosity, and the giving of gifts. His feast on the 6th of November came to be celebrated in many countries by the giving of gifts. Saint Nicholas appeared in bishoply attire, accompanied by helpers, and enquired about the behaviour of children during the past year, before deciding whether they deserved a gift or not.

สิ่งที่บ่งบอกถึงงานวันเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่ทั่วโลกรู้จักกันดี และมีชื่อเสียงมาก ได้แก่ ซานตาคลอสซึ่งเป็น ผู้มอบของขวัญที่ล่ำลือกันในตำนาน สวมใส่ชุดสีแดงโดยมีการโต้เถียงกันในเรื่องของที่มา บางกลุ่มอ้างว่าซานตาคลอสถูกเรียกผิดมาจาก Sinterklaas ของชาวดัตช์ ถ้ากล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ เซนต์ นิโคลัสนั่นเอง

นิโคลัส เคยดำรงตำแหน่ง บิชอปแห่งไมรา (ถ้าเป็นเวลาปัจจุบันก็คือ ประเทศตุรกี) ในปีคริตส์ศักราชที่ 4 ซึ่งนักบุญท่านอื่นอ้างว่า เขามีชื่อเสียงในเรื่องการดูแลเด็กเล็ก มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมอบของขวัญให้ผู้อื่นเสมอ ๆ งานเฉลิมฉลองของเขาในวันที่ 6 พฤศจิกายน กลายมาเป็นประเพณีการมอบของขวัญในหลายประเทศเซนต์ นิโคลัส มีลักษณะการแต่งตัวอยู่ในชุดของบาทหลวง และมีผู้ติดตามเป็นผู้ช่วยเหลือ และชอบที่จะสอบถามถึงความประพฤติของเด็ก ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมาก่อนที่จะตัดสินใจว่าเด็กคนไหนสมควรที่จะได้รับของขวัญบ้าง

 By the 13th century Saint Nicholas was well known in the Netherlands, and the practice spread to other parts of central and southern Europe. At the Reformation, many protestants changed the gift bringer to the Christ Child or Christkindl, (corrupted in English to Kris Kringle), and the date of giving gifts changed from December the 6th to Christmas Eve.

ในศตวรรษที่ 13 เซนต์ นิโคลัส เป็นที่รู้จักกันไปทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์ และต่อมาชื่อเสียงก็กระจายไปทั่วพื้นที่ในตอนกลางและตอนใต้ของประเทศยุโรป และในช่วงที่มีการปฏิรูปกันนั้น ชาวคริสต์นิกายโปรแตสแต๊นท์ ได้เปลี่ยนชื่อเรียกไปเป็น Christ Child หรือ Christkindl (ส่วนในอังกฤษนั้น เสียงเพี้ยนไปเป็นคำว่า Kris Kringle) และวันที่มอบของขวัญให้กันนั้น ได้เปลี่ยนจากวันที่ 6 ธันวาคม มาเป็น วันคริสต์มาสอีฟ

In the United States, and particularly in New York, the modern popular image of Santa Claus was created, with the aid of six notable contributors including Washington Irving and the German-American cartoonist Thomas Nast (1840–1902).

Following the American Revolutionary War, the inhabitants of New York City, a former Dutch colonial town (New Amsterdam) which had been swapped by the Dutch for other territories, reinvented their Sinterklaas tradition, as Saint Nicholas was a symbol of the city's non-English past. In 1809, the New-York Historical Society convened and retroactively named Sancte Claus the patron saint of Nieuw Amsterdam, the Dutch name for New York City. At his first American appearance in 1810, Santa Claus was drawn in bishops robes. However as new artists took over, Santa Claus developed more secular attire. Nast drew a new image of "Santa Claus" annually, beginning in 1863. By the 1880s, Nast's Santa had evolved into the robed, fur clad, form we now recognize, perhaps based on the English figure of Father Christmas. The image was standardized by 
advertisers in the 1920s.

ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เมืองนิวยอร์ค ภาพลักษณ์สมัยใหม่ของซานตาคลอสได้
ถูกสรรค์สร้างขึ้นและเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนทั่วไปอย่างมาก ด้วยความร่วมมือกันของบุคคลที่มีชื่อเสียง 6 ท่าน รวมถึง วอชิงตัน เออร์วิ่ง (Washington Irving) และนักเขียนการ์ตูนชาวเยอรมัน-อเมริกัน ชื่อ โธมัส นาส Thomas Nast (1840–1902)

ซึ่งตามประวัติศาสตร์สงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา ชนพื้นเมืองในเมืองนิวยอร์ค
ประชาชนในอาณานิคมของดัตช์ (นิว อัมสเตอร์ดัม) ได้ถูกชาวดัตช์ใช้อาณาเขตที่ตนครอบครอง
แลกเปลี่ยนกับเขตแดนอื่น ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างบิดาแห่งคริสต์มาสแบบใหม่ขึ้นมา
นั่นก็คือ เซนต์นิโคลัสซึ่งรู้จักกันในการเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในอดีต

ในปี 1809 นักประวัติศาสตร์-สังคมชาวนิวยอร์คมาชุมนุมกันและนึกถึงชื่อของ
Sancte Claus, นักบุญผู้เมตตาแห่ง Nieuw Amsterdam (ชื่อของเมืองนิวยอร์คในภาษาดัตช์)
ในช่วงแรกที่เปิดตัวในประเทศอเมริกา ในปี 1810 นั้น ซานตาคลอสแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมของบิชอป
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ใหม่ของซานตาคลอสได้ถูกสรรค์สร้างขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง
เครื่องแต่งกายที่เน้นไม่ให้เกี่ยวข้องใด ๆ กับศาสนา และตั้งแต่ปี 1863 นาสก็เขียนภาพลักษณ์
ใหม่ให้กับซานตาคลอสทุกปี จนกระทั่งช่วงทศวรรษที่ 1880 ภาพซานตาตลอส ก็ออกมาใน
รูปแบบที่พวกเราจดจำกันในปัจจุบันนี้ (สวมเสื้อคลุมขนสัตว์) ซึ่งมีการโฆษณาภาพนี้ในช่วงทศวรรษที่ 1920

 Father Christmas, a jolly well nourished bearded man who typified the
spirit of good cheer at Christmas, predates the Santa Claus character, was first recorded
in early 17th century England, but was associated with holiday merrymaking and drunkenness.
In Victorian Britain, his image was remade to match that of Santa. The French P?re No?
l evolved along similar lines, eventually adopting the Santa image. In Italy, Babbo Natale
acts as Santa Claus, while La Befana is the bringer of gifts and arrives on the eve of the Epiphany.
It is said that La Befana set out to bring the baby Jesus gifts, but got lost along
the way. Now, she brings gifts to all children. In some cultures Santa Claus is
accompanied by Knecht Ruprecht, or Black Peter. In other versions, elves make
the toys. His wife is referred to as Mrs. Claus.

บิดาแห่งคริสต์มาสเป็นชายหนวดคลึ้ม ร่าเริงและเบิกบานเหมาะกับเทศกาลคริสต์มาส
รูปลักษณ์แรกๆของซานตาครอสถูกบันทึกไว้ครั้งแรกในต้นศตวรรษที่ 17
แต่กลายเป็นว่าเป็นวันหยุดเพื่อการเฉลิมฉลองและการดื่มเหล้าเมายา ในยุคอังกฤษวิคตอเรียนภาพ
ลักษณ์ของซานตาคลอสได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับซานต้ามากขึ้น

Père Noël ของฝรั่งเศษก็ปรับลายเส้นให้มีความคล้ายกับซานต้าต้นฉบับ จนในที่สุด
ก็ได้ภาพลักษณ์ของซานต้าออกมา

ในอิตาลี Babbo Natale แต่งกายเป็นซานตาคลอส ในขณะที่ La Befana เป็นผู้นำของขวัญมา
แจกจ่ายในคืนก่อนวัน Epiphany กล่าวกันว่า La Befana ตั้งใจจะเอาของขวัญไปแจกให้กับพระเยซูวัยเยาว์
แต่กลับหลงทาง ทุกวันนี้เธอจึงแจกของขวัญให้กับเด็กทุกคน

บางวัฒนธรรมก็กล่าวว่าซานตาคลอสจะมี Knecht Ruprecht หรือ Black Peter ติดตามมาด้วย
หรือบางทีก็บอกว่าพวกเอลส์เป็นคนผลิตของเล่น ส่วนภรรยาของเขาก็คือ คุณนายคลอส นั่นเอง

 There has been some opposition to the narrative of the American evolution of Saint Nicholas
into the modern Santa. It has been claimed that the Saint Nicholas Society was not founded until 1835,
almost half a century after the end of the American War of Independence. Moreover, a study of the
"children's books, periodicals and journals" of New Amsterdam by Charles Jones revealed
no references to Saint Nicholas or Sinterklaas. However, not all scholars agree with Jones's findings,
which he reiterated in a booklength study in 1978; Howard G. Hageman, of New Brunswick
Theological Seminary, maintains that the tradition of celebrating Sinterklaas in New York was alive
and well from the early settlement of the Hudson Valley on.

มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับประวัติการพัฒนาการของเซนต์นิโคลัสไปเป็นซานต้า ยุคใหม่
ซึ่งพวกเขาได้อ้างว่า เรื่องราวของเซนต์นิโคลัสนั้น ยังไม่ถูกค้นพบจนกระทั่งปี 1835 ซึ่งนับเป็นเวลา
เกือบครึ่งศตวรรษหลังจากที่สงครามประกาศอิสรภาพสิ้นสุดลง ยิ่งไปกว่านั้น แบบเรียน "children's books,
periodicals and journals" ของนิว อัมสเตอร์ดัมที่เขียนโดย Charles Jones ได้แสดงให้เห็นว่า
ไม่มีเอกสารอ้างอิงใด ๆ เลยที่ระบุถึง เซนต์ นิโคลัส หรือ Sinterklaas อย่างไรก็ดี ผู้ที่ทำการศึกษา
ไม่ได้คล้อยตามเกี่ยวกับสิ่งที่ Charles Jones ค้นพบทั้งหมด ซึ่งเขาได้นำผลงานไปกล่าวซ้ำอีกครั้ง
ในการศึกษาความกว้างของหนังสือในปี 1978

Howard G. Hageman จากสถาบันสอนศาสนศาสตร์ New Brunswick สนับสนุนความคิดเห็น
เกี่ยวกับประเพณีการเฉลิมฉลองของ Sinterklaas ในเมืองนิวยอร์ค ซึ่งยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นอย่างดีนั้น
มีที่มามาจาการก่อตั้งชุมชน Hudson Valley

Current tradition in several Latin American countries (such as Venezuela and Colombia)
holds that while Santa makes the toys, he then gives them to the Baby Jesus, who is the one
who actually delivers them to the children's homes, a reconciliation between traditional religious
beliefs and the iconography of Santa Claus imported from the United States

ธรรมเนียมของบางประเทศแถบละตินอเมริกา (เช่น เวเนซุเอล่า และโคลัมเบีย) เชื่อว่าซานต้าจะ
เป็นผู้สร้างของเล่น และนำไปมอบให้แก่พระเยซูตัวน้อย แล้วพระองค์จะเป็นผู้นำไปส่งตามบ้านของเด็ก ๆ
ซึ่งเรื่องราวนี้เป็นเสมือนความสอดคล้องของความเชื่อทางศาสนาและทางโลก ซึ่งเรื่องราวของซานต้าคลอส
ส่วนใหญ่ที่เป็นที่จดจำนั้นได้แนวความคิดมาจากอเมริกา

In Italy, Austria, Czech Republic, Southern Germany, Hungary, Liechtenstein, Slovakia and
Switzerland, the Christkind brings the presents. The German St. Nikolaus is not identical with
the Weihnachtsman (who is the German version of Santa Claus). St. Nikolaus wears a bishop's
dress and still brings small gifts (usually candies, nuts and fruits) on December 6 and is
accompanied by Knecht Ruprecht. Although many parents around the world routinely teach
their children about Santa Claus and other gift bringers, some have come to reject this practice,
considering it deceptive.

ในประเทศอิตาลี สาธารณรัฐเช็ค เยอรมันตอนใต้ ฮังการี่ ลิชเธ่นสไตน์ สโลวาเกีย และสวิสเซอร์แลนด์
ก็มีตำนานของผู้ที่จะนำของขวัญมามอบให้ แต่จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ที่ประเทศเยอรมัน เซนต์นิโคลัส
ไม่ได้เป็นคน ๆ เดียวกับซานตาคลอส (Weihnachtsman = ซานตาคลอสของชาวเยอรมัน)
แต่เซนต์ นิโคลัสก็ใส่ชุดของบาทหลวงและมีของขวัญชิ้นเล็ก ๆ (ซึ่งส่วนใหญ่คือ ขนมหวาน ถั่วชนิดต่าง ๆ และผลไม้)
ติดมือมาเพื่อแจกในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งเขาจะมาพร้อมกับผู้ช่วยของเขาที่ชื่อ Knecht Ruprecht

แม้ว่า โดยส่วนใหญ่ พ่อแม่มักจะสอนให้ลูก ๆ ให้รู้จักกับซานตาคลอส และ ผู้ที่จะนำของขวัญมามอบให้
แต่บางครอบครัวก็ไม่สนใจ เพราะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

Merry Christmas 13

แสตมป์คริสต์มาส

 A number of nations have issued commemorative stamps at Christmastime. Postal customers will often use these stamps to mail Christmas cards, and they are popular with philatelists. These stamps are regular postage stamps, unlike Christmas seals, and are valid for postage year-round. They usually go on sale some time between early October and early December, and are printed in considerable quantities.


           หลายประเทศได้ออกแสตมป์ที่ระลึกในช่วงคริสต์มาส ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มักจะใช้ แสตมป์ที่ระลึกนี้ ในการส่งบัตรอวยพรวันคริสต์มาส แล้วก็มีความนิยมในการสะสมแสตมป์ที่ระลึกนี้ด้วย แสตมป์เหล่านี้สามารถนำมาใช้ปกติได้ตลอดปีเฉกเช่นแสตมป์ทั่วไป ซึ่งไม่เหมือนกับการประทับตราคริสต์มาส ซึ่งแสตมป์ที่ระลึกนี้มักจะวางขายในช่วงระหว่างต้นเดือนตุลาคม ถึงต้นเดือนธันวาคม และจะพิมพ์จำหน่ายในปริมาณมาก

In 1898 a Canadian stamp was issued to mark the inauguration of the Imperial Penny Postage rate. The stamp features a map of the globe and bears an inscription "XMAS 1898" at the bottom.

ปี 1898 แคนาดาได้ออกแสตมป์คริสต์มาสมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดงาน 
Imperial Penny Postage โดยเป็นภาพของแผนที่โลกและมีตัวอักษรคำว่า "XMAS 1898" ระบุไว้ใต้ภาพ

In 1937, Austria issued two "Christmas greeting stamps" featuring a rose and the signs of the zodiac.

ปี 1937 ออสเตรียออกแสตมป์คริสต์มาสมาสองรูปแบบ เป็นภาพกุหลาบและจักรราศรี

In 1939, Brazil issued four semi-postal stamps with designs featuring the three kings and 
a star of Bethlehem, an angel and child, the Southern Cross and a child, and a mother and child.

ปี 1939 บราซิลออกแสตมป์มาสี่แบบ เป็นภาพของพระราชาสามพระองค์กับดวงดาวแห่งเบธเลเฮม
เทพธิดากับบุตร ไม้กางเขนกับบุตร และแม่กับบุตร

The US Postal Service regularly issues both a religious-themed and a secular-themed stamp each year.

ในแต่ละปีไปรษณีย์ของอเมริกาจะออกแบบแสตมป์ทั้งในรูปแบบที่อิงความเชื่อทางศาสนาและ 
ภาพงานเฉลิมฉลองของผู้คนในเทศกาลคริสต์มาส